Contrast
Font
854ca0f52a61b7d9334db4e589f07144.jpg

เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼️ เรื่อง "กรณีศึกษาการทุจริต" ประจำวันที่ 10 12 14 กรกฎาคา 2566

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 558

09/08/2566

"ไม่ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา"

ร้อยตำรวจเอก ก. ขณะปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรสอบสวน ได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนคน จึงออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุพร้อมทั้งบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและนำรถจักรยานยนต์คันที่เกิดเหตุไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจภูธร แต่ไม่ได้จัดให้มีการลงรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีตามอำนาจหน้าที่ ต่อมาญาติผู้เสียหายไปแจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดี ร้อยตำรวจเอก ก. ก็มิได้จัดให้มีการบันทึกคำกล่าวโทษ ทั้งที่ทราบดีว่าคดีดังกล่าวมีผู้ได้รับอันตรายสาหัส ต่อมาได้มีการสอบปากคำพยานและให้คู่กรณีเจรจาเรียกร้องค่าเสียหายแต่ตกลงกันไม่ได้ ร้อยตำรวจเอก ก. ก็มิได้จัดทำสำนวนคดีดังกล่าว ต่อมาร้อยตำรวจเอก ก. ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่อื่น ก็มิได้ส่งมอบเอกสารหลักฐานที่ดำเนินการเกี่ยวกับอุบัติเหตุหรือรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ การกระทำของร้อยตำรวจเอก ก. แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะไม่รับคดีอุบัติเหตุไว้ดำเนินการสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.

การกระทำของร้อยตำรวจเอก ก. เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยตำรวจ พ.ศ. 2477 มาตรา 5 (3) และ (12) และเป็นความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
----------

"ช่วยเหลือผู้ต้องหาคดีมียาเสพติด ไว้ในครอบครองให้ได้รับโทษน้อยลง"

นาย ก. เป็นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีที่นาย เอ ผู้ต้องหาถูกจับกุมในข้อหามียาเสพติให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครอง จำนวน 213 เม็ด นาย ก. ได้กระทำการทุจริตโดยเรียกและรับเงินจากภรรยาและมารดาของนาย เอ จำนวน 30,000 บาทเป็นค่าตอบแทนในการให้ความช่วยเหลือนาย เอ ให้รับโทษน้อยลง และนาย ก. ยังได้ให้นาย ข. นาย ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมนาย เอ เขียนบันทึกการจับกุมนาย เอ. ขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับแทนบันทึกการจับกุมฉบับแรก และให้นาย ง. ปฏิบัติหน้าที่เสมียนประจำคดี มีหน้าที่บันทึกรายละเอียดในสมุดประจำวันตามที่พนักงานสอบสวนสั่งการ ซึ่งรับทราบข้อเท็จจริงอยู่ก่อนแล้วว่านาย เอ ถูกจับกุมและมียาบ้าของกลางจำนวน 213 เม็ด ลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีนี้ตามบันทึกการจับกุมที่เขียนขึ้นใหม่ โดยระบุว่ายาบ้าของกลางมีจำนวน 8 เม็ด เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมาย เป็นหลักฐานในการลงรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี และเป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดีแก่นาย เอ ในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย จากจำนวน 213 เม็ด เป็นจำนวน 8 เม็ด

จากการแก้ไขจำนวนยาบ้าดังกล่าวเป็นเหตุให้พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องนาย เอ และศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกนาย เอ 1 ปี ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาจึงมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวเป็นประโยชน์สำหรับนาย เอ ที่ได้รับโทษสถานเบา เนื่องจากยาบ้าของกลางในคดีมีจำนวนเพียง 8 เม็ด จากการช่วยเหลือของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.

การกระทำของนาย ก. เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521 มาตรา 45 พระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยตำรวจ พ.ศ. 2477 มาตรา 5 (12) และพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 123 และเป็นความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญากระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษหรือให้รับโทษน้อยลง และฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานสอบสวน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 157 มาตรา 200 วรรคหนึ่ง และมาตรา 201 ประกอบมาตรา 83

ส่วนการกระทำของนาย ข. และนาย ค. เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521 มาตรา 45 และพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยตำรวจ พ.ศ. 2477 มาตรา 5 (12) และพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 123 และเป็นความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษหรือให้รับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83
----------

"ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้มีการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิด"

เกิดเหตุทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่น ณ สวนสาธารณะ ทำให้มีการกล่าวหาว่า สิบตำรวจเอก อ. ทำร้ายร่างกายบุตรชายของนาย ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ต่อมานาย ส. และบุตรชายพร้อมพวกได้เดินทางไปสถานีตำรวจเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดยมีพันตำรวจเอก ก. ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร พันตำรวจตรี ข สารวัตรป้องกันปราบปราม โดยมีพันตำรวจตรี ค. เข้าเวรเป็นพนักงานสอบสวนคดีอาญา และสิบตำรวจเอก อ. ในระหว่างที่มีการเจรจาพนักงานขับรถของนาย ส. ได้เข้ามาทำร้ายร่างกายสิบตำรวจเอก อ. โดยพันตำรวจตรี ข และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิ่งไล่ตามแต่ไม่สามารถติดตามได้ และนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่สิบตำรวจเอก อ. ถูกทำร้ายปรากฏไม่มีผู้ใดร้องทุกข์หรือกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำร้ายร่างกายตำรวจแต่อย่างใด จนกระทั่งสิบตำรวจ อ. ได้ร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ทำร้ายร่างกาย และต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้มอบตัว

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า พันตำรวจเอก ก. มีอำนาจหน้าที่สืบสวนและสอบสวนคดีอาญาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในท้องที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธร แต่ปรากฏว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ทำร้ายสิบตำรวจเอก อ. พันตำรวจเอก ก. กลับไม่มีการดำเนินการหรือสั่งการให้มีการติดตามจับกุมผู้ทำร้ายสิบตำรวจเอก อ. ทั้งที่พันตำรวจตรี ข. ได้รายงานเหตุการณ์และระบุตัวบุคคลที่ทำร้ายสิบตำรวจเอก อ. ให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว พันตำรวจเอก ค มีหน้าที่สืบสวนและสอบสวนคดีอาญา แต่ได้ปล่อยปละละเลยให้เหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไปหลายวันโดยที่มิได้ดำเนินการใด ๆ ตามอำนาจหน้าที่

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.

การกระทำของพันตำรวจ ก. เป็นความผิดวินัยร้ายแรง และเป็นความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การกระทำของพันตำรวจตรี ข. และ พันตำรวจตรี ค. เป็นความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรงตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 78 (9)

Related