จากไชต์: วารสารวิชาการ
จำนวนผู้เข้าชม: 263
กฎหมายสังคมนิติบัญญัติ : ประสบการณ์ด้านนิติเศรษฐศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา
Legislation of Social Law : The American Experience on Law & Economics [1]
กฎหมายสังคมนิติบัญญัติ (social legislation) คือกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา ไม่ใช่พัฒนาโดยศาลเหมือนกฎหมายเอกชน ลักษณะของกฎหมายสังคมนิติบัญญัติที่แตกต่างจากกฎหมายเอกชนคือ ผู้บริหารกฎหมายสังคมนิติบัญญัติ คือ องค์กรฝ่ายปกครอง(administrative agency) กฎหมายสังคมนิติบัญญัติวางระเบียบกิจกรรมที่เป็นผลของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นผลให้รัฐต้องเข้ามาแทรกแซงกิจกรรมดังกล่าว เช่น การแรงงานสัมพันธ์ การรักษาสิ่งแวดล้อม ส่วนกฎหมายเอกชนที่บริหารโดยศาล จะเป็นการวางระเบียบเกี่ยวกับวิถีชีวิตประจำวัน เช่น การเกิดการตายของบุคคล การสมรส การทำนิติกรรม การรับมรดกของบุคคล เป็นต้น
กฎหมายเอกชนกับเศรษฐศาสตร์เสรีนิยม
กฎหมายเอกชนทุกตระกูลล้วนแล้วแต่เป็นกฎหมายที่มีลัทธิเสรีนิยมเป็นฐานราก โดยลักษณะของลัทธิเสรีนิยมมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ได้แก่ 1) competitive individualism 2) ความศักดิ์สิทธิ์ในทรัพย์สิน 3) รัฐบาลที่มีอำนาจจำกัด และ 4) ตลาดเสรี หลักกฎหมายที่สะท้อนถึงพลังของลัทธิเสรีนิยม คือ due process of law ซึ่งในทางวิชาการถือว่าเป็นมิติทางนิติศาสตร์ของลัทธิเสรีนิยม เช่นเดียวกับ laissez-faire เป็นมิติทางเศรษฐศาสตร์ของลัทธิเสรีนิยม due process of law แต่เดิมมุ่งคุ้มครองประชาชนจากฝ่ายนิติบัญญัติแต่ต่อมาขยายไปถึงการใช้อำนาจรัฐทุกประเภท
Due process of law ทำให้ศาลเข้ามามีอิทธิพลเหนือฝ่ายการเมือง ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างศาลกับฝ่ายการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา หลักการอีกอย่างที่สำคัญคือ Bill of Rights ซึ่งถือเป็น higher law ในประเทศสหรัฐอเมริกา สาระสำคัญของ Bill of Rights คือการประกันสิทธิของปัจเจกชน จากการก้าวล่วงของฝ่ายการเมือง โดยถ้าฝ่ายการเมืองโดยฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐบาลสหรัฐออกกฎหมายขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ศาลสหรัฐสามารถพิพากษาว่ากฎหมายนั้นเป็นโมฆะได้
สาระสำคัญของทฤษฎีนิติศาสตร์รูปนัยนิยม คือ 1) กฎหมาย “เป็นแบบพิธี (formal)” คือการใช้กฎหมายเป็นการสร้างผลลัพธ์ โดยการบังคับใช้แก่ข้อเท็จจริง โดยปราศจากการแทรกแซงของดุลยพินิจ 2) กฎหมาย “สมบูรณ์ในตัวเอง (autonomous)” คือหลักกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่สืบเนื่องเชิงนิรนัยจากความคิดและหลักการพื้นฐานจำนวนหนึ่งที่ยึดโยงกันอย่างมีระเบียบ และ 3) “เป็นนิติศาสตร์เชิงกล (mechanical jurisprudence)”
หลักการ due process of law ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายปกครองที่พัฒนาในยุโรปตะวันตกถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง กฎหมายอเมริกาที่ครอบงำโดยนิติศาสตร์รูปนัยนิยมเฟื่องฟูอยู่จนถึง ค.ศ. 1929 เมื่อสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า The Great Depression การตกต่ำทางเศรษฐกิจนี้ ถือเป็นการอวสานของทุนนิยมแบบสุดโต่ง และปิดชีวิตนิติศาสตร์รูปนัยนิยม จารีตทางนิติศาสตร์ ที่ปรากฏขึ้นมาใหม่พร้อมแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์แบบใหม่ คือ anti-formalism
กฎหมายสังคมนิติบัญญัติกับ Anti-formalism
Anti-formalism ถือกำเนิดจากคดี Lochner v. New York (1905) โดยในความเห็นแย้งของคดีนี้นักนิติศาสตร์ Oliver Wendell Holmes โต้แย้งนิติศาสตร์รูปนัยนิยม วาทะทางนิติศาสตร์ของ Holmes ที่เป็นที่จดจำกันอยู่จนปัจจุบัน คือ “กฎหมายเป็นประสบการณ์ กฎหมายมิใช่ตรรกะ” ความเห็นแย้งนี้ มีผลอย่างสำคัญต่อพัฒนาการกฎหมายสังคมนิติบัญญัติในเวลาต่อมา
นักเศรษฐศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อกฎหมายสังคมนิติบัญญัติ คือ John Maynard Keynes โดยการเรียกร้องให้รัฐเข้าวางระเบียบควบคุมธุรกิจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะและชี้ว่าสิ่งที่จะเรียกคืนความเชื่อมั่นในธุรกิจอเมริกาจาก Great Depression คือการแทรกแซงอย่างเข้มข้นของรัฐบาล โดยเหตุผลของกฎหมายสังคมนิติบัญญัติเกิดจากข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมสุดโต่งที่ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคอย่างรุนแรง รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงระยะเวลาดังกล่าวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงทำให้เกิดความจำเป็นที่ฝ่ายนิติบัญญัติต้องออกกฎหมายมาวางระเบียบควบคุมกฎหมายสังคมนิติบัญญัติ
ต่อมามีการเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายศาลและการเมือง เกี่ยวกับกฎหมายสังคมนิติบัญญัติ ที่กฎหมายสังคมนิติบัญญัติหลายฉบับถูกประกาศใช้ภาคธุรกิจและนักกฎหมายเอกชนแต่ถูกโจมตีจากผู้เสียผลประโยชน์อย่างรุนแรง จนทำให้ประธานาธิบดี Roosevelt เสนอแผนงาน “Court-Packing Plan” เป็นโครงการเพิ่มจำนวนผู้พิพากษาในศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาจากเดิม ที่มี 9 คน เป็น 21 คน ที่ต้องการถ่วงดุลอำนาจผู้พิพากษาศาลสูง 9 คนที่เชื่อมั่นในแนวคิด legal formalism ซึ่งมีการแต่งตั้งผู้พิพากษารุ่นใหม่ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบเศรษฐกิจและหลักเศรษฐศาสตร์เพิ่มเติมเข้ามาในองค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตามแผนงาน “Court-Packing Plan” ไม่ประสบผลสำเร็จ
สรุป
กฎหมายเอกชนเป็นกฎหายแนวรูปนัยนิยม กฎหมายแนวนี้ถูกค้ำจุนโดยเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมแบบสุดโต่ง เมื่อแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมแบบสุดโต่งอ่อนกำลังและมีการปรากฏขึ้นมาของเศรษฐศาสตร์แนว Keynes มีการเรียกร้องกฎหมายสังคมนิติบัญญัติ การเผชิญหน้าระหว่างศาลกับการเมืองเป็นผลมาจากการปรับตัวไม่ทันของศาล ซึ่งถูกแต่งตั้งในช่วงบรรยากาศทางการเมืองแบบทุนนิยมแบบสุดโต่ง การอ่อนกำลังของนิติศาสตร์รูปนัยนิยมเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการอ่อนกำลัง ของเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมแบบสุดโต่ง นี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับเศรษฐศาสตร์
[1] สรุปจากวารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (มกราคม 2557 : เขียนบทความโดยนายวิชัย วิวิตเสวี อดีตกรรมการ ป.ป.ช.)
สามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.nacc.go.th/download/sakdinan_khu/y71/ton1_2.pdf