วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ : 21 กรกฎาคม 2558
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
จากคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557 รัฐบาลมีแนวนโยบายในการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลให้เริ่มขับเคลื่อนได้อย่างจริงจัง ประกอบกับมีแนวนโยบายในการส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน โดยพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) รวมถึงการปรับกฎเกณฑ์การค้าและพิธีการศุลกากรให้สะดวก ลดขั้นตอนต่าง ๆ หรือยกเลิกขั้นตอนบางเรื่อง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวนโยบายในการส่งเสริม การบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ โดยการยกระดับสมรรถนะของหน่วยงานของรัฐให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการรับบริการของรัฐ และการให้ริการถึงตัวบุคคลผ่านระบบศูนย์ริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) และระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์แบบ พร้อมทั้งมีระบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการปรับปรุงงานบริการภาครัฐเพื่อป้องกันการทุจริต ด้วยเห็นว่าระบบดังกล่าวจะช่วยลดโอกาสในการกระทำการทุจริต และเพิ่มช่องทางที่จะสามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเกิดความประหยัดจากการลดขั้นตอนการดำเนินงานและจำนวนเอกสารที่ใช้ในกระบวนการติดต่อดำเนินการ ซึ่งสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่รับบริการต่าง ๆ ของรัฐได้เป็นอย่างมาก สอดคล้องกับความตั้งใจของรัฐบาล ที่ต้องการปฏิรูปการบริหารราชการ ลดปัญหาการทุจริต เสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าของประเทศอย่างยั่งยืน ทัดเทียมนานาอารยประเทศ เพื่อสร้างความสุขให้กับประชาชนคนไทย
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควรเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในงานบริการภาครัฐ เพื่อป้องกันการทุจริต เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 19 (11) ดังนี้
1) มาตรการเร่งด่วน
รัฐบาลควรส่งเสริมโครงการบูรณาการงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ หรือ “Thailand Gateway” ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) และสนับสนุนงบประมาณ เพื่อให้โครงการดังกล่าวบรรลุผล โดยนำร่องในโครงการเกี่ยวกับการนำเข้า - ส่งออก โดยเฉพาะในสินค้าส่งออกที่ส่งผลกระทบต่อยอดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ประกอบด้วย ยางพารา ข้าวทั่วไป ข้าวหอมมะลิ อาหารทะเลแช่แข็ง ชิ้นส่วนรถยนต์ และเครื่องทำความเย็นและตู้แช่แข็ง เพื่อให้ทันต่อการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเดือนธันวาคม 2558 โดยอาจบรรจุโครงการดังกล่าวเป็นมาตรการเสริมในยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2560) ในยุทธศาสตร์ที่ 2 เรื่อง “บูรณาการการทำงานในการต่อต้านการทุจริตและพัฒนาเครือข่ายในประเทศ”
2) มาตรการระยะยาว
รัฐบาลควรให้การส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณในการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ มาใช้ในการปรับปรุงงานบริการภาครัฐ โดยเฉพาะในระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E - Payment) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และเพิ่มความสะดวกให้แก่ประชาชนที่รับบริการอีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทาง ในการติดตามตรวจสอบให้สามารถทำได้ง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเกิดทุจริต
มติคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2558
1. รับทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในงานบริการภาครัฐเพื่อป้องกันการทุจริต ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้
1.1 มาตรการเร่งด่วน ส่งเสริมโครงการบูรณาการงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพของสำนักงาน ก.พ.ร. และสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้โครงการดังกล่าวบรรลุผล โดยนำร่องในโครงการเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก [โดยเฉพาะในสินค้าส่งออกที่ส่งผลกระทบต่อยอดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ประกอบด้วย ยางพารา ข้าวทั่วไป ข้าวหอมมะลิ อาหารทะเลแช่แข็ง ชิ้นส่วนรถยนต์ และเครื่องทำความเย็นและตู้แช่แข็ง] เพื่อให้ทันต่อการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเดือนธันวาคม 2558 โดยอาจบรรจุโครงการดังกล่าวเป็นมาตรการเสริมในยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556-2560) ยุทธศาสตร์ที่ 2 เรื่องบูรณาการการทำงานในการต่อต้านการทุจริตและพัฒนาเครือข่ายในประเทศ
1.2 มาตรการระยะยาว ส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณในการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการปรับปรุงงานบริการภาครัฐโดยเฉพาะในระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และเพิ่มความสะดวกให้แก่ประชาชนที่รับบริการ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางในการติดตามตรวจสอบให้สามารถทำได้ง่ายขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดทุจริต
2. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อมาตรการในการป้องกันการทุจริตและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
3. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป
“สำนักงาน ป.ป.ช. ร่วมประชุมหารือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” วันที่ 13 มีนาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรมและสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ หารือร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ณ ห้...
การประชุมสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๗ ณ ห้องประชุมสถาบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์ อาคาร ๖ ชั้น ๒ สำนักงาน ป.ป.ช. เริ่มประชุมเวลา ...
ประชาสัมพันธ์ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 (ประเด็นการป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก (Anti-SLAPP Law)) ---- รายละเอียดเพิ่มเติม---- https://www.nacc.go.th/.../2018083118464317/20250606091727? &n...
ขอประชาสัมพันธ์ผลสำเร็จ/การถอดบทเรียนจากการดำเนินงานตามแผนส่งเสริมคุณธรรมของสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รายละเอียดสื่อเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่นี่
สำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ขอแสดงความยินดีกับ หน่วยงาน/บุคคล ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและทำความดีจนเป็นแบบอย่างได้
เริ่มประชุมเวลา 13.30 น. เมื่อครบองค์ประชุม นางสาวลัดดา เดือนสว่าง ผู้อำนวยการสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ประธานในที่ประชุม กล่าวเปิดการประชุมและดำเนินการประชุมตามวาระ ดังต่อไปนี...