จากไชต์: สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดระนอง
จำนวนผู้เข้าชม: 1743
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2567) นายธนบูลย์ พร้อมสัมพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดระนอง แถลงข่าวกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติมอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้น เพื่อดำเนินการไต่สวนเบื้องต้นกรณีกล่าวหาร้องเรียน นายสุนาถ ภักดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหงาว กับพวกรวม 3 คน ว่ามีการนำรถยนต์ส่วนกลางของราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยมีการเบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของทางราชการอันเป็นเท็จ และยังได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวรถ
ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 นายสุนาถ ภักดี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหงาว มีการนำรถยนต์หมายเลขทะเบียน กค 2026 ระนอง ซึ่งเป็นรถยนต์ส่วนกลาง ขับไปใช้งานด้วยตนเองตั้งแต่ในช่วงแรกที่มีการจัดซื้อมาใช้งานในลักษณะเสมือนเป็นรถยนต์ส่วนตัวทั้งในและนอกเวลาราชการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้มีการจัดซื้อเพื่อใช้งานในราชการของสำนักงานปลัดเทศบาล ตลอดจนใช้งานในช่วงวันหยุดราชการ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับงานราชการ และจอดค้างคืนไว้ที่บ้านพัก ซึ่งมีระยะห่างจาก อบต.หงาว ประมาณ 3 กิโลเมตร โดยมีพยานบุคคลซึ่งมีบ้านพักอยู่ละแวกใกล้เคียงกับบ้านพักอาศัยของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จำนวนหลายราย พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วน นายยุโรป พันชั่ง นักการภารโรง องค์การบริหารส่วนตำบลหงาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการใช้และดูแลรักษารถยนต์ส่วนกลางคันดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ได้จัดทำเอกสารใบขออนุญาต ใช้รถยนต์ ย้อนหลังอันเป็นเท็จขึ้นมาว่าใช้รถในการจัดส่งเอกสารให้หน่วยงานภายนอกและนำนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหงาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เดินทางไปราชการในสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดระนอง และชุมพร แต่ใบขออนุญาตใช้รถยนต์ดังกล่าวไม่มีการรับรองจากผู้ที่มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ผู้อำนวยการกอง/หัวหน้ากอง หรือผู้แทน และยังมิได้รับการอนุญาต จากนายก อบต. หงาว ในฐานะ ผู้มีอำนาจสั่งใช้รถตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้และรักษารถยนต์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 ข้อ 11 วรรคสาม ซึ่งจากการไต่สวนพยานบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ อบต.หงาว จำนวนหลายราย รับฟังได้ว่านายยุโรบ พันชั่ง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ไม่ได้ขับรถยนต์ส่วนกลางคันดังกล่าวไปส่งเอกสารให้หน่วยงานภายนอกหรือไปส่งไปรษณีย์ หรือพาเจ้าหน้าที่หรือผู้บริหารของ อบต.หงาว ใช้ในงานราชการของ อบต. แต่อย่างใด เนื่องจากมีผู้ที่ทำหน้าที่ประจำอยู่แล้ว จำนวน 2 คน โดยใช้รถยนต์ส่วนกลางคันอื่น อีกทั้ง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินก็ได้ตรวจสอบพบว่าในช่วงระหว่างที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 ที่มีการจัดทำหลักฐานการใช้รถอันเป็นเท็จดังกล่าว มีการเบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ส่วนกลางคันดังกล่าวจากเงินของ อบต. หงาว เป็นเงินจำนวน 10,800 บาทนอกจากนี้ ยังมีกรณีนายสุนาถ ภักดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหงาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นำรถยนต์ส่วนกลางคันดังกล่าว ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวทำให้รถยนต์ส่วนกลางได้รับความเสียหาย และยังปกปิดความผิด ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้มอบหมายให้ นายวระชาติ ขุนฤทธิ์ ผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการใช้และดูแลรักษารถยนต์ส่วนกลางคันดังกล่าว ในช่วงวันที่ 1 มี.ค. 60 - วันที่เกิดอุบัติเหตุ ไปแจ้งความเป็นหลักฐานต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรราชกรูดว่าเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 เวลา 09.00 น.ได้ขับรถยนต์ส่วนกลางคันดังกล่าวนำคณะผู้บริหารไปเปิดพิธีการแข่งขันฟุตบอลที่เกาะหาดทรายดำโดยจอดรถยนต์ ไว้ที่บริเวณท่าเทียบเรือท่าต้นสน และต่อมาเวลา 13.00 น. ได้กลับมาที่จุดจอดรถแล้วพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้รับความเสียหายจากการเฉี่ยวชนที่บริเวณด้านซ้ายของตัวรถ โดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ แต่จากการตรวจพิสูจน์ร่องรอยการเฉี่ยวชน จากทีมผู้เชี่ยวชาญ พบว่าร่องรอยลักษณะการถูกเฉี่ยวชนตามพฤติการณ์ที่แจ้งความไว้นั้นมีความขัดแย้งไม่สัมพันธ์กันไม่สามารถเกิดขึ้น ในขณะที่รถยนต์จอดนิ่งอยู่กับที่ในที่เกิดเหตุโดยไม่มีการเคลื่อนไหว ประกอบกับในเรื่องนี้มีพยานบุคคลหลายรายได้ยืนยันสอดคล้องกันว่าในช่วงเวลาก่อนและขณะที่รถยนต์เกิดความเสียหาย นั้น ได้พบเห็นผู้ถูกกล่าวหา ที่ 1 เป็นผู้ใช้รถยนต์คันดังกล่าว โดยนำไปใช้ส่วนตัวและเก็บไว้ที่บ้านพัก และในเช้าวันเกิดเหตุไม่เห็นว่ารถยนต์คันดังกล่าวจอดอยู่ที่สำนักงานฯ แต่อย่างใดแต่นายวระชาติ ขุนฤทธิ์ กลับยินยอมให้นายสุนาถ ภักดี นำรถยนต์ส่วนกลางคันดังกล่าวไปใช้เสมือนเป็นรถยนต์ส่วนตัว โดยไม่มีการจัดทำใบขออนุญาตใช้รถส่วนกลาง และบันทึกการใช้รถ ตามระเบียบฯ และไม่ได้มีการทำบันทึกโต้แย้งคัดค้านหรือรายงานให้ผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือตนขึ้นไปทราบ
พิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานคณะไต่สวนเบื้องต้นพิจารณาแล้วเห็นว่านายสุนาถ ภักดี ผู้ถูกกล่าวหา ที่ 1 ในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหงาว เป็นผู้มีอำนาจสั่งใช้ จัดการ และรักษารถส่วนกลางขององค์การบริหารส่วนตำบลหงาว ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยการใช้และรักษารถยนต์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งการใช้รถยนต์ส่วนกลางจะต้องใช้เพื่อกิจการอันเป็นส่วนรวมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือเป็นประโยชน์ของทางราชการเท่านั้น การที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้นำรถยนต์ส่วนกลางของทางราชการหมายเลขทะเบียน กค 2026 ระนอง ดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์เสมือนเป็นรถยนต์ส่วนตัวและนำไปใช้นอกเขตองค์การบริหารส่วนตำบลหงาว และนำไปจอดค้างคืนไว้ที่บ้านพัก มิได้ใช้และเก็บรักษารถตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้และรักษารถยนต์ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 ข้อ 11 และข้อ 14 แต่อย่างใด โดยในช่วงระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 มีการเบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ส่วนกลางหมายเลขทะเบียน กค 2026 ระนอง จากเงินงบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลหงาว เป็นเงินจำนวน 10,800 บาท และการนำไปใช้ดังกล่าวทำให้รถยนต์ส่วนกลางคันดังกล่าวได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 20,000 บาท ซึ่งแม้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะได้นำเงินส่วนตัวมาชดใช้ค่าเสียหายทั้งสองจำนวนแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทำขึ้นภายหลังจากที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้าตรวจสอบสืบสวนพบเรื่องการกระทำความผิดดังกล่าว และหาได้ลบล้างการกระทำความผิดทางอาญาซึ่งเป็นความผิดสำเร็จไปแล้วไม่ ซึ่งในการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้ ได้มีการสอบพยานบุคคลทั้งเจ้าหน้าที่ภายใน อบต. และบุคคลภายนอก จำนวนหลายราย ซึ่งให้การสอดคล้องตรงกัน รวมทั้งหนังสือร้องเรียนจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ด้วย
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 61/2567 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 7 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้น ในกรณีกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาแต่ละราย ดังนี้
การกระทำของนาย สุนาถ ภักดี อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหงาว อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิด ฐานกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลย ไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92
การกระทำของนายยุโรบ พันชั่ง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริง อันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 162 (4) ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 127/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) และ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราซการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดระนอง เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2558 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ข้อ 7 วรรคสอง และข้อ 10 วรรคสอง
การกระทำของนายวระชาติ ขุนฤทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเวันการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 127/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) และ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราซการและฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดระนอง เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2558 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ข้อ 7 วรรคสอง และข้อ 10 วรรคสอง
เห็นควรให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการทางวินัย และดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ กับนายสุนาถ ภักดี นายยุโรบ พันชั่ง และนายวระชาติ ขุนฤทธิ์ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (1) และ (2) มาตรา 98 และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป และให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทราบ ทั้งนี้ ให้องค์การบริหารส่วนตำบลหงาว ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 82 วรรคสอง
การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุดผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด