Contrast
bef0081d181f4d275e6be8457a9d8d67.png

ป.ป.ช. ชี้มูล อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 97 (บ้านบางบอน)

จากไชต์: สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดระนอง
จำนวนผู้เข้าชม: 665

26/02/2568

          วันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2568) นายธนบูลย์ พร้อมสัมพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดระนอง แถลงข่าวกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติมอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้น เพื่อดำเนินการไต่สวนเบื้องต้น กรณีกล่าวหาร้องเรียน นายสุทิน สัจจา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 97 (บ้านบางบอน) อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง กรณีเรียกรับเงินบริจาคจากผู้รับจ้างก่อสร้างรั้วลวดหนามของโรงเรียนโดยอ้างว่าจะนํามาซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้โรงเรียนแต่ได้ยักยอกเงินไปใช้ส่วนตัว และยักยอกเงินที่คณะพระธุดงค์มอบให้โรงเรียนเป็นค่าอาหารเลี้ยงเด็กนักเรียน

ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 97 (บ้านบางบอน) ได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง เพื่อดำเนินงานโครงการก่อสร้างรั้วลวดหนาม 7 เส้น งบประมาณจำนวน 79,900 บาท ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ปรากฏว่าช่วงเวลาก่อนจะมีการลงนามในใบสั่งจ้าง ผู้ถูกกล่าวหาได้เรียกให้ผู้รับจ้างเข้าไปพบที่ห้องทำงาน และได้แจ้งให้ผู้รับจ้างบริจาคเงินให้โรงเรียน โดยอ้างว่าจะนำไปจัดซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใช้งานในห้องธุรการของโรงเรียนแทนของเก่าที่ชำรุดจำนวน 19,000 บาท ซึ่งผู้รับจ้างได้ยินยอมบริจาคเงินให้โรงเรียนตามที่ผู้ถูกกล่าวหาร้องขอ แต่ได้ต่อรองขอลดวงเงินบริจาคลงเหลือ จำนวน 15,000 บาท โดยจะบริจาคเงินให้โรงเรียนภายหลังจากที่ได้รับเงินค่าจ้างแล้ว ต่อมาเมื่อผู้รับจ้างดำเนินงานแล้วเสร็จ และมีการตรวจรับงานและเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างแล้ว ผู้รับจ้างได้โทรศัพท์แจ้งไปยังผู้ถูกกล่าวหาว่าจะนำเงินสดจำนวน จำนวน 15,000 บาท ไปบริจาคให้โรงเรียนโดยมอบให้กับครูฝ่ายการเงินของโรงเรียน เพื่อให้นำเข้าฝากบัญชีของโรงเรียน และนำไปจัดซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กตามระเบียบของทางราชการ แต่ผู้ถูกกล่าวหาได้แจ้งกับผู้รับจ้างว่าให้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีส่วนตัวของผู้ถูกกล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหาจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปดำเนินการเอง แต่ปรากฏว่าภายหลังจากที่ผู้รับจ้างได้โอนเงินบริจาคให้ผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาได้ปกปิดเรื่องการได้รับเงินบริจาค โดยไม่แจ้งให้ฝ่ายการเงินของโรงเรียนหรือคณะครูในโรงเรียนทราบแต่อย่างใด และปรากฏว่าภายหลังจากที่ผู้รับจ้างได้โอนเงินบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัวของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกกล่าวหามีการทำธุรกรรมทางการเงินและถอนเงินออกจากบัญชีแต่ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้นำเงินที่ผู้รับจ้างบริจาคไปมอบให้กับฝ่ายการเงินของสถานศึกษา หรือดำเนินการเพื่อให้มีการนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินรายได้หรือบัญชีเงินบริจาคของสถานศึกษา หรือดำเนินการจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กตามวัตถุประสงค์ที่ผู้รับจ้างได้บริจาคเงินให้แก่โรงเรียน และไม่ได้มีการออกใบเสร็จรับเงินและจดแจ้งการรับเงินบริจาคไว้เป็นหลักฐานตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา พ.ศ. 2552 แต่อย่างใด จนกระทั่งภายหลังมีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาจึงได้เร่งนำเงินที่ผู้รับจ้างได้บริจาคจำนวน 15,000 บาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่การเงิน โดยแจ้งว่าเป็นเงินที่ได้รับจากผู้รับจ้างและให้ทำการออกใบเสร็จเป็นค่ารับเงินบริจาคซื้อคอมพิวเตอร์ให้แก่ผู้รับจ้าง ซึ่งการคืนเงินดังกล่าวมีระยะเวลาห่างจากวันที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเงินบริจาคนานถึง 359 วัน กรณีจึงย่อมแสดงให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของผู้ถูกกล่าวหาว่า มีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินบริจาคจำนวน 15,000 บาท ดังกล่าว ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่พัสดุนำเงินดังกล่าวไปจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ต ซึ่งเป็นเครื่องพกพาส่วนบุคคลไม่สามารถใช้ประโยชน์ในงานธุรการส่วนรวมของโรงเรียนในลักษณะอย่างเดียวกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแต่อย่างใด และภายหลังการจัดซื้อผู้ถูกกล่าวหาได้นำเครื่องแท็บเล็ตดังกล่าว ไปใช้งานประจำตัวและนำกลับไปใช้งานที่บ้านพักของผู้ถูกกล่าวหา ไม่ได้ใช้ในงานราชการส่วนรวมของโรงเรียนแต่อย่างใด การจัดซื้อดังกล่าวจึงผิดไปจากวัตถุประสงค์ของผู้รับจ้าง กรณีจึงมีมูลว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริจาคเงิน และเกิดความเสียหายแก่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 97 (บ้านบางบอน) กรณียักยอกเงินที่คณะพระธุดงค์มอบให้โรงเรียน ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่าเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2563 ได้มีคณะพระธุดงค์บริจาคเงินให้โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 97 (บ้านบางบอน) จำนวน 10,000 บาท ซึ่งเป็นเงินบริจาคเพื่อให้โรงเรียนนำไปใช้จ่ายตามอัธยาศัย ถือเป็นเงินที่มีผู้บริจาคมอบให้สถานศึกษาโดยไม่ระบุวัตถุประสงค์ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาได้เก็บรักษาเงินไว้กับตนเอง โดยปกปิดไม่แจ้งให้ฝ่ายการเงินของโรงเรียนหรือคณะครูในโรงเรียนทราบ เรื่องการได้รับเงินบริจาคจำนวนดังกล่าว และไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินรายได้หรือบัญชีเงินบริจาคของโรงเรียน หรือจดแจ้งการรับเงินบริจาคไว้เป็นหลักฐานตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา พ.ศ. 2552 แต่อย่างใด แต่จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงจากถ้อยคำของพยานบุคคล และพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องรับฟังได้ว่า ภายหลังจากที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเงินบริจาคดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาได้นำเงินบริจาคดังกล่าวไปใช้พัฒนาโรงเรียนโดยปรับปรุงภูมิทัศน์ ตัดต้นไม้ ตัดหญ้าบริเวณรอบโรงเรียน จัดให้มีกิจกรรมอาสาพัฒนาโรงเรียน เติมน้ำมันเครื่องจักรขุดลอกสระน้ำและบดอัดปรับสนามกีฬาของโรงเรียน การใช้เงินดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของโรงเรียนซึ่งเป็นหน่วยงานราชการโดยส่วนรวม ยังฟังไม่ได้ว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาร้ายแรงถึงขั้นทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและคณะพระธุดงค์ผู้บริจาคเงิน แต่การที่ผู้ถูกกล่าวหาเก็บรักษาเงินบริจาคไว้กับตนเองโดยไม่มีทะเบียนควบคุมการรับเงิน และไม่นำเงินที่ได้รับนำไปมอบให้กับฝ่ายการเงินของสถานศึกษา หรือดำเนินการเพื่อให้มีการนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินรายได้หรือบัญชีเงินบริจาคของสถานศึกษา นั้น พฤติการณ์เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ แบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาลมีมูลเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.

  1. กรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 10/2568 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียง ดังนี้กรณีเรียกรับเงินบริจาคจากผู้รับจ้างก่อสร้างรั้วลวดหนามของโรงเรียนโดยอ้างว่าจะนํามาซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้โรงเรียนแต่ได้ยักยอกเงินไปใช้ส่วนตัวการกระทำของนายสุทิน  สัจจา ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 84 วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง
  2. กรณียักยอกเงินที่คณะพระธุดงค์มอบให้โรงเรียนเป็นค่าอาหารเลี้ยงเด็กนักเรียนการกระทำของนายสุทิน สัจจา ผู้ถูกกล่าวหา จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่าได้กระทำความผิดทางอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาลโดยถือประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน และไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 85 วรรคหนึ่ง ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับ นายสุทิน  สัจจา ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (1) และ (๒) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี ต่อไป

 

"การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด

ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด"

Related