เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักต้านทุจริตศึกษา จัดการอบรมพัฒนาศักยภาพเครือข่ายวิทยากรตัวคูณในการปลูกฝังวิธีคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ประจำปี 2566 ณ โรงแรม วินทรี ซิตี้ รีสอร์ท อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนายกระดับสมรรถนะเครือข่ายวิทยากรตัวคูณหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในองค์ความรู้เรื่องการคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม และโมเดล STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต รวมถึงเพิ่มพูนองค์ความรู้เนื้อหาตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2564 และหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2565 ตลอดจนเป็นแกนนำเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้สู่กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับกิจกรรมในการอบรมในครั้งนี้ มีการบรรยาย เรื่อง “ความสำคัญและบทบาทของวิทยากรตัวคูณในการขยายผลองค์ความรู้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” โดย นางแก้วตา ชัยมะโน ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.
จากนั้น เป็นการอภิปรายในหัวข้อ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2561 หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2564 และหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2565 โดย รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ ป.ป.ช. และนายณัฐปกรณ์ ประเสริฐสุข เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตชำนาญการ
และในช่วงบ่าย เป็นแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติ (Work shop) โดยมีประเด็น ดังนี้
- การทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2561, 2564 และ 2565
- การกำหนดแนวทางและแผนในการขยายผลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในปี พ.ศ. 2566 และต่อเนื่องในปีต่อไป
- การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การเป็นวิทยากรตัวคูณ และการเป็นเครือข่ายวิทยากรตัวคูณ
จากนั้น เป็นการอภิปรายสรุปผล “ความมุ่งมั่น (Commitment) ของวิทยากรตัวคูณ ปี พ.ศ. 2566 ในการขยายผลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต” และการสรุปผลการอบรมฯ โดย นางสวรรยา รัตนราช ผู้อำนวยการสำนักต้านทุจริตศึกษา
โดยหลังเสร็จสิ้นการอบรมเชิงปฏิบัติการฯ แล้ว สำนักต้านทุจริตศึกษาจะมีการกำกับติดตามการขยายผลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ของวิทยากรตัวคูณ ต่อไป
ทั้งนี้ มีผู้เข้ารับการอบรม ประกอบด้วย บุคลากรสังกัดหน่วยงานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้ง ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำปางและลำพูน ที่เคยผ่านการอบรมโครงการปลูกฝังวิธีคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ของสำนักงาน ป.ป.ช. รวมจำนวนทั้งสิ้น 200 คน