Contrast
Font
15b953755a18ad44e465435ea56a859a.jpg

กทม.รื้อ 4 ไม่ ใช้ 4 เพิ่ม ลดเสี่ยงสินบนขออนุญาตก่อสร้าง ด้าน ป.ป.ช.เสริมการใช้เทคโนโลยีช่วยลดดุลยพินิจ ลดทุจริต

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 643

14/06/2566

จากกรณีเป็นข่าวดัง ว่า “ชัชชาติ” ผู้ว่าฯ กทม. เดือด หลังพบข้อมูล จนท.โยธา เรียกค่าดำเนินการที่ต้องจ่ายตามขั้นตอนปกติ 50,000 บาท แต่กลับถูกเรียกถึง 300,000 บาท แสดงให้เห็นถึงรอยรั่วที่ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งจ้องจะกระทำผิดอาศัยเป็นช่องทางเรียกรับสินบน กทม.จึงออกมาเดินหน้าลดปัญหาทุจริต รื้อ 4 ไม่ ใช้ 4 เพิ่ม ด้าน ป.ป.ช. แนะ นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ช่วยลดการใช้ดุลยพินิจ ลดปัญหาทุจริตได้

         “4 ไม่” ที่ กทม.เล็งกำจัดทิ้งในกระบวนการขอใบอนุญาตก่อสร้างฯ ดังนี้ 1.“ไม่เร็ว” การขอใบอนุญาตใช้ระยะเวลาเฉลี่ย 67 วัน เกินกว่าระยะเวลาขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 45 วัน ซึ่งความล่าช้า เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งกระบวนการที่ผู้ยื่นคำขอต้องสอบถามข้อมูลไปยังสำนักงานเขต ไม่มีระบบค้นหาออนไลน์ ไปจนถึงกระบวนการดำเนินการออกใบอนุญาตของเจ้าหน้าที่ที่ใช้เวลานาน 2.“ไม่ชัด” กฎหมายที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ได้กำหนดแนวทางในการพิจารณาให้ชัดเจน ทำให้มีการใช้ “ดุลยพินิจ” ของเจ้าหน้าที่ประกอบการพิจารณามาจนเกินไป อาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการเสนอหรือการเรียกรับ “ค่าเร่งเวลา” เพื่อให้การออกใบอนุญาตก่อสร้างทำได้เร็วขึ้น 3.“ไม่เชื่อม” ข้อมูลและเอกสารบางอย่างขาดการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงาน ทั้งนี้ การขออนุญาตก่อสร้าง ต้องใช้เอกสารหลายฉบับ และเอกสารบางประเภทเจ้าของอาคารต้องติดต่อหน่วยงานด้วยตัวเอง เช่น เอกสารรับรองกรรมสิทธิ์ที่ดิน, หนังสือรับรองบริษัท, หนังสือรับรองผู้ประกอบวิชาชีพฯ 4.“ไม่ทันสมัย” การเข้าถึงข้อมูลการขอใบอนุญาต และปัญหาการยื่นขออนุญาตผ่านช่องทางออนไลน์ยังเป็นปัญหาสำคัญ รวมทั้งข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน

พร้อมผลักดัน “4 เพิ่ม” ปรับขั้นตอนขอใบอนุญาตก่อสร้าง ดังนี้ 1.“เพิ่มความเร็ว” ผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายควบคุมอาคารใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก แก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดทางให้มีนายตรวจเอกชน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ขออนุญาต โดยนายตรวจเอกชน มีหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารและทำรายงานเสนอต่อสำนักงานเขตให้พิจารณาเท่านั้น แต่อำนาจการอนุมัติยังคงเป็นของนายตรวจภาครัฐเช่นเดิม ประเด็นสอง คือ แก้ไขกฎหมายเพื่อปรับปรุงระยะเวลาการพิจารณาอนุญาตก่อสร้าง ตามความเสี่ยงของประเภทอาคาร โดยอาคารขนาดเล็กมีความเสี่ยงต่ำ ควรใช้ระยะเวลาในการพิจารณาน้อยกว่าอาคารขนาดใหญ่ หรืออาคารสาธารณะที่มีความเสี่ยงสูง เช่น บ้านพักอาศัยพื้นที่ไม่เกิน 300 ตร.ม. ควรใช้เวลาพิจารณาน้อยกว่า 30 วัน 2.“เพิ่มความชัดเจน” สามารถแยกเป็น 2 ประเภท คือ ปรับปรุงบทบัญญัติให้ชัดเจน เพื่อลดการใช้ “ดุลยพินิจ” ของเจ้าหน้าที่ และแก้ไขกฎหมายลำดับรองหรือกฎกระทรวงต่าง ๆ ให้สามารถอ้างอิงมาตรฐานการก่อสร้างที่กำหนดโดยองค์กรวิชาชีพได้ รวมทั้งเพิ่มความชัดเจนของกระบวนการพิจารณาอนุญาตด้วย ทั้งระบบฐานข้อมูลกลางให้มีความถูกต้องชัดเจนทันสมัย และข้อมูลการขออนุญาตบนเว็บไซต์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสำนักงานเขต โดยอาจกําหนดให้เว็บไซต์ของแต่ละเขตเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ “ศูนย์รับคําขออนุญาตกทม. (BMA OSS)” เพียงแห่งเดียว เพื่อลดความสับสนของข้อมูล อีกทั้งยังมีช่องทางให้ประชาชนยื่นคําขออนุญาตก่อสร้างออนไลน์ด้วย 3.“เพิ่มการเชื่อมข้อมูล” ควรพัฒนาระบบการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคาร เช่น กรมที่ดิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาวิชาชีพ โดยที่ประชาชนไม่ต้องขอเอกสารจากแต่ละหน่วยงานด้วยตนเอง และพัฒนาจุดให้บริการแบบ One Stop Services 4.“เพิ่มความทันสมัย” ด้วยการพัฒนาช่องทางการขออนุญาตออนไลน์ ให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนหันมาใช้เว็บไซต์ BMA OSS เป็นช่องทางหลักของการยื่นขออนุญาตก่อสร้าง ตลอดจนนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจสอบแบบแปลนเพื่อความแม่นยำ

ด้านสำนักงาน ป.ป.ช. เน้นย้ำ “การนำเทคโนโลนีสามารถลดดุลยพินิจช่องโหว่ในการเกิดทุจริตได้” นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ให้ข้อมูลในประเด็นดังกล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ทำงานร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. ในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการบริการประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการใช้อำนาจดุลพินิจของเจ้าพนักงานรัฐโดยมิชอบ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติ-อนุญาต โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) พัฒนาระบบเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อใช้ในการพิจารณาอนุมัติ-อนุญาต ตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการเป็นเครื่องมือในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น ความจำเป็นในการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ลดลง ช่องโหว่ที่ทำให้เกิดปัญหาการทุจริตก็จะลดลงตามไปด้วย

นอกจากนี้ ยังฝากเตือนไปยังเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติกรรมเรียกรับสินบนให้พึงระวัง เนื่องจากมีความผิดทั้งทางวินัยและอาญา โดยมีอัตราโทษทางสูง เช่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ที่วางหลักว่า ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล โดยทุจริตหรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทำการ หรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 150 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียกรับหรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท

Related