จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 1973
ป.ป.ช. เผยความจำเป็นในการวางมาตรการเพื่ออุดช่องโหว่ทุจริตจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรท้องถิ่น
เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. วางมาตรการในการอุดช่องโหว่การทุจริต การจัดซื้อจัดจ้างในกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พบสถิติและข้อมูลการร้องเรียนการทุจริตสูงสุดเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พร้อมย้ำไม่ใช่การจับจ้อง แต่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ เนื่องจากมีมูลค่าความเสียหายสูง
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ในงบประมาณปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับงบประมาณรวมประมาณ 3,185,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 29 ของวงเงินงบประมาณภาครัฐ ซึ่งงบประมาณเหล่านี้จะถูกจัดสรรให้แก่หน่วยงานท้องถิ่นต่าง ๆ อาทิ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาลเมือง และเทศบาลตำบล เป็นต้น เพื่อให้นำเม็ดเงินงบประมาณเหล่านี้ไปใช้ในการดูแลสาธารณประโยชน์ให้กับประชาชนในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ประปา เสาไฟส่องสว่าง การก่อสร้างถนนหรือปรับปรุงพื้นถนน การขุดลอกแหล่งน้ำ คูคลอง ทางระบายน้ำ ฯลฯ โดยการจัดหาบริษัทเอกชนให้เข้ามาร่วมประมูลหรือเสนอราคาจัดซื้อจัดจ้าง ด้วยวิธีการตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง หรือการประกวดราคา เป็นต้น
แต่ที่ผ่านมา จากการประมวลผลเรื่องร้องเรียนการทุจริตที่ส่งมาที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดทั่วประเทศ พบว่าปัญหาการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมักจะมีช่องโหว่หรือจุดทุจริตจากเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตั้งแต่ระดับพื้นที่ รวมถึงส่วนกลาง ที่มีการร่วมมือกับเอกชนบางราย ในการทุจริตการประกวดราคา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์และชนะหรือผ่านการพิจารณาการคัดเลือกเพื่อเข้ามาเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ หรือที่เรียกว่า “ได้งาน” นั้นเอง ซึ่งจากกรณีศึกษาในหลายคดีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการชี้มูลความผิดไปแล้ว พบว่าบางกรณีมีเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจและหน้าที่มิชอบไปทำการเจรจาต่อรองกับเอกชนก่อนที่จะมีการของบประมาณ เพื่อที่จะแบ่งงบประมาณแต่ละโครงการให้เหลือไม่เกิน 500,000 บาท เพื่อให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประกวดราคา ซึ่งจะทำให้สามารถใช้อำนาจในการเลือกผู้รับจ้างได้เอง
ส่วนกรณีของโครงการที่มีงบประมาณเกิน 500,000 บาทขึ้นไป ก็จะใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โดยผู้ที่มีความประสงค์จะเข้ามารับงาน จะต้องยื่นประกวดราคาผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแม้ว่าระบบจะมีการพัฒนาเพื่อป้องกันการกระทำผิดของผู้เสนอราคาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังพบช่องโหว่ในขั้นตอนการประกวดราคา ยกตัวอย่างเช่น การกำหนด TOR ที่เป็นการล็อคสเปกหรือเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนรายหนึ่งรายใดเป็นพิเศษ หรือกรณีการฮั้วประมูลกับผู้ยื่นเสนอราคารายอื่น ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนร่วมในการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างก็จะได้รับเงินทอนหรือค่าตอบแทนในการช่วยเหลือให้ได้งานอีกด้วย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นพฤติการณ์ที่กระทำกันเป็นขบวนการมายาวนาน และครอบคลุมไปทั่วทุกท้องที่ ตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ ไปถึงจังหวัด และบางกรณีสืบสวนพบว่าเป็นขบวนการที่ทำกันในระดับภูมิภาคเลยทีเดียว
เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวต่อไปว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นี้ สำนักงาน ป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 30 ของการร้องเรียนทั้งหมด ตามด้วยกระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 14.37 กระทรวงศึกษาธิการ ร้อยละ 11 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร้อยละ 9.9
นอกจากนี้ ในส่วนประเด็นที่สำคัญที่ต้องมีการแก้ไขเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการทุจริตใน อปท. คือ การแก้ไขเรื่องของผู้มีอิทธิพลอันจะเชื่อมโยงไปถึงกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ในหลาย ๆ ครั้ง เมื่อพลเมืองดีร้องเรียนไปยังอำเภอเพื่อให้ลงมาตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในหน่วยงาน อปท. กลับพบว่าทางอำเภอเองในฐานะหน่วยงานที่กำกับท้องถิ่นก็ไม่ดำเนินการอันใดเนื่องจากติดปัญหา “บ้านใหญ่” ในแต่ละพื้นที่ ดังนั้น การที่จะให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการกับผู้กระทำผิดเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ผล สิ่งสำคัญคือจะต้องเข้าไปศึกษาอย่างละเอียดถึงสาเหตุของการกระทำความผิด ว่าเกิดขึ้นจากความไม่รู้หรือมีเจตนากระทำความผิดจริง โดยจะต้องลงลึกด้วยว่ามีช่องทางใดที่เป็นรอยรั่วหรือเปิดช่องโหว่ให้มีการกระทำความผิด และต้องวิเคราะห์เชิงลึกด้วยว่า มีหน่วยงานไหนที่เกี่ยวข้องกับการฮั้วการประมูลในโครงการนั้น ๆ โดยสำนักงาน ป.ป.ช. จะทำงานด้วยวิธีบูรณาการทั้งระบบ เมื่อมีการชี้มูลหลักฐานการทุจริตออกมา หน่วยงานของรัฐนั้น ๆ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมายและทางวินัย
นายนิวัติไชย กล่าวในตอนท้ายว่า สำนักงาน ป.ป.ช. จะเร่งดำเนินการแก้ไขพร้อมกับให้องค์ความรู้แก่เอกชนที่จะเข้ามาร่วมการประกวดราคาในโครงการภาครัฐ เกี่ยวกับขั้นตอนในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างอย่างถูกต้อง รวมถึงหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของ อปท. เหล่านี้ ก็ควรมีมาตรการในการสอดส่องดูแลกลไกการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดหน่วยงานให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น แต่ถ้ากรณีที่เจตนากระทำความผิดทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้ว ก็ต้องประสานไปยังหน่วยปราบปรามและเฝ้าระวัง ให้ดำเนินการตามหน้าที่ต่อไป
โดยปัจจุบัน สำนักงาน ป.ป.ช. ก็มีแผนที่ในการปฏิบัติงานเฝ้าระวังและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานกลุ่ม อปท. ทั้ง 76 จังหวัด และยังได้มีการปักหมุดความเสี่ยงการทุจริตไว้ด้วยว่า ตำบลไหน อำเภอไหน หรือจังหวัดไหนที่มีสถิติการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนมากที่จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หรือเป็นเป้าหมายแรกที่ต้องเข้าไปดูแลควบคุม และขอความร่วมมือหากประชาชนที่พบเห็นการกระทำทุจริตในโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ สามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสมาได้ที่ สำนักงาน ป.ป.ช. ที่สายตรง 1205 หรือเว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ช. www.nacc.go.th