จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 2557
ป.ป.ช. รายงานสถานการณ์การทุจริตไทยในปีที่ผ่านมา เพื่อคาดการณ์แนวโน้มการทุจริต และวางแนวทางในการพัฒนางานการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพ
สำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ร่วมกับสำนักบริหารงานกลาง และสำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต ได้จัดทำรายงานสถานการณ์การทุจริตประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งข้อมูลนี้จะเป็นประโยชนต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตลอดจนการคาดการณ์แนวโน้มการทุจริตในปีถัดไป
จากรายงานสถานการณ์การทุจริตประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หากวิเคราะห์ข้อมูลสถิติคำกล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับคำกล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2564 แม้ว่าจะมีคำกล่าวหาเพิ่มมากขึ้น แต่ก็พบว่าระยะเวลาในการดำเนินคดีที่แล้วเสร็จเป็นไปตามกรอบระยะเวลา จำนวนเรื่องตรวจสอบมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และมูลค่าการทุจริตมีจำนวนลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจากแนวทางการบริหารจัดการคดี และนโยบาย “ป้องนำปราบ” โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และการบริหารจัดการคดี ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ตัวเลขสถิติที่วิเคราะห์ออกมายังสะท้อนให้เห็นว่า ภาคประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของหน่วยงานในฐานะที่เป็นองค์กรหลักในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเพิ่มขึ้น จึงกล้าที่จะออกมาแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสการทุจริตทันที เมื่อพบเห็นการทุจริตหรือพฤติกรรมที่เสี่ยงให้เกิดการทุจริต อันเป็นผลมาจากการที่สำนักงาน ป.ป.ช. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้มุ่งเน้นส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริตเพิ่มขึ้น ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 63 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 33 จึงอาจกล่าวได้ว่า คำกล่าวหาที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เป็นผลมาจากนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
สำหรับแนวโน้มในอนาคตจากการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า การทุจริตในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 อาจมิได้มีความแตกต่างจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มากนัก แต่อาจมีผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมาเกี่ยวข้องเพิ่มเติม อาทิ ความเข้มแข็งและความตื่นตัวในการต่อต้านการทุจริตของภาคประชาชน การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 รวมทั้งระบบเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวหน้าไปมากยิ่งขึ้น ย่อมส่งผลต่อแนวโน้มสถานการณ์การทุจริตไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ อาจสรุปประเด็นสำคัญของแนวโน้มสถานการณ์การทุจริตได้ ดังนี้
1) การเพิ่มขึ้นของการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเฝ้าระวังการทุจริต
ปัจจุบันภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน มีความตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และแจ้งเบาะแสการทุจริต โดยเห็นได้จากการนำเสนอข่าวหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทุจริตหรือสุ่มเสี่ยงว่าอาจมีการทุจริต แล้วเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ อาทิ เพจปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน เพจต้องแฉ เพจคุ้ยเขี่ย เพจคิด ทำ ทิ้ง ตลอดจนเพจข่าวประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ประกอบกับการจัดตั้งศูนย์ป้องปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ช. (ศูนย์ CDC) ซึ่งมีหน้าที่ติดตาม เฝ้าระวัง วิเคราะห์ และประเมินสภาวการณ์การทุจริตอย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่บ่งชี้ว่าอาจนำไปสู่การทุจริตหรือส่อว่าอาจมีการทุจริต
2) เรื่องกล่าวหาร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
คำกล่าวหาร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในปีหน้ามีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อพิจารณาจากสถิติคำกล่าวหาร้องเรียนที่เข้ามายังสำนักงาน ป.ป.ช. และที่สำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2565 พบว่า คำกล่าวหาร้องเรียนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปัจจุบันสังคมมีความตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตมากขึ้น โดยสังเกตได้จากการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับการทุจริตตามสื่อสังคมออนไลน์ของภาคประชาชน รวมทั้งสำนักข่าวต่าง ๆ เช่น เพจปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน เพจต้องแฉ เพจคุ้ยเขี่ย เพจเครือข่ายชมรม STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต เป็นต้น
3) ประเภทคำกล่าวหาร้องเรียนในเรื่องการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และการทุจริตเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จะยังคงเป็นประเภทการทุจริตที่พบมากที่สุด
ในอนาคตประเภทการทุจริตที่พบมากที่สุด 2 อันดับแรก คาดการณ์ว่ายังคงเดิมเหมือนกับปีที่ผ่านมา คือ การทุจริตประเภทการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และการจัดซื้อจัดจ้าง อย่างไรก็ตาม การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of Interest : COI) เป็นประเภทการทุจริตที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2565 พบว่า มีจำนวนสูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยถึงร้อยละ 28.13 และสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับการทุจริตประเภทอื่น ๆ
4) การใช้เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในการตรวจจับการทุจริต
การใช้ระบบเทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูลแบบ Real time กับอัลกอริทึ่ม จะช่วยในการตรวจจับการทุจริตได้รวดเร็วขึ้น ประกอบกับปัจจุบันมีการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มมากขึ้น และการใช้ Blockchain ที่เพิ่มขึ้น จะเปิดโอกาสในการควบคุมดูแลธุรกรรมต่าง ๆ ให้มีความโปร่งใสเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการปรับตัวของหน่วยงานตรวจสอบหลายแห่ง อาทิ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงาน ป.ป.ท. สำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเริ่มมีการจัดสรรงบประมาณในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเตรียมความพร้อมในการปรับเปลี่ยนการทำงานที่ทันสมัยยิ่งขึ้น
5) การลงโทษทางสังคมจะรวดเร็วกว่าการดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย
เนื่องจากปัจจุบันระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันมากขึ้น เห็นได้จากประเด็นข่าวสารและกระแสสังคมต่าง ๆ เกิดจากโลกออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ มีการแชร์ข้อมูลข่าวสารกันอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงคาดว่าการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) จะช่วยทำให้สามารถป้องกัน ป้องปราม และแก้ไขปัญหาการทุจริตได้อย่างรวดเร็ว และอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้กฎระเบียบบังคับ เนื่องจากมีกระบวนการและขั้นตอนที่ใช้เวลานาน โดยแนวโน้มในอนาคต ประชาชนจะไม่ยอมทนเมื่อพบว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นในสังคม ประกอบกับมีช่องทางการเปิดเผยการกระทำความผิดที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์
6) การให้สินบนจะเป็นไปในรูปแบบเดิม (เงินสด) และสินบนข้ามชาติยังคงอยู่
แม้ว่าปัจจุบันจะมีการนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริการภาครัฐ เพื่อลดโอกาสการทุจริตที่จะเกิดจากการพบปะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน แต่ปัญหาเรื่องสินบนก็ยังคงอยู่เพื่อแลกกับการอํานวยความสะดวก และความรวดเร็วในการให้บริการ ซึ่งจะยังคงเป็นรูปแบบเดิม ๆ โดยการใช้เงินสด เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ รวมทั้งการรับสินบนระหว่างประเทศจะยังคงมีอยู่เช่นเดิม
7) แนวโน้มการทุจริตเชิงนโยบายเพิ่มมากขึ้น
การทุจริตเชิงนโยบายยังคงแยบยลเช่นเดิม ถึงแม้สำนักงาน ป.ป.ช. ได้พยายามผลักดันข้อเสนอแนะเรื่องเกณฑ์ตัวชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย แต่ถ้าหากมีการนำเกณฑ์ชี้วัดฯ มาใช้อย่างจริงจัง อาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจลงคะแนนของประชาชนจากนโยบายการหาเสียงของนักการเมือง โดยผ่านการนำเสนอนโยบายสาธารณะของพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยในการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
8) หน่วยงานที่น่าจับตามองเพื่อเฝ้าระวังการทุจริต เนื่องจากได้รับการสนับสนุนงบประมาณจำนวนมากประกอบกับมีสถิติเรื่องร้องเรียนว่ามีการทุจริตในปีที่ผ่านมาจำนวนมาก
หากพิจารณาเป็นรายหน่วยงาน พบว่า หน่วยงานที่มีเรื่องร้องเรียนมากที่สุด 3 อันดับแรก และสำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 2,015 เรื่อง รองลงมา คือ กระทรวงมหาดไทย จำนวน 459 เรื่อง และ กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 290 เรื่อง ซึ่งเป็น 3 หน่วยงานที่ถูกกล่าวหาร้องเรียนเป็นอันดับต้น ๆ มาต่อเนื่องหลายปี
อย่างไรก็ตาม หากเทียบสัดส่วนเรื่องร้องเรียนที่เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2565 กลับพบว่า ในปี พ.ศ. 2565 กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานที่ถูกกล่าวหาร้องเรียนเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึงร้อยละ 44.70 จากค่าเฉลี่ย รองลงมา คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.45 จากค่าเฉลี่ย และ กระทรวงการคลัง เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.26 จากค่าเฉลี่ย
ดังนั้น เมื่อพิจารณาเรื่องกล่าวหาร้องเรียนการทุจริตของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต ประกอบกับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด 2 อันดับแรก และมีเรื่องถูกกล่าวหาร้องเรียนสูงสุด 2 อันดับแรกเช่นกัน ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 อาจต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองกระทรวงในการเฝ้าระวังการทุจริตต่อไป ในขณะที่ กระทรวงคมนาคม ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณสูง มีการดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมาก และยังเป็นหน่วยงานที่มีสัดส่วนของเรื่องถูกกล่าวหาร้องเรียนเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2565 สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการคลัง จะไม่ใช่หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ แต่เป็นหน่วยงานที่มีสัดส่วนของเรื่องถูกกล่าวหาร้องเรียนเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2565 สูงสุด 3 อันดับแรก รองลงมาจากกระทรวงคมนาคม จึงเป็นหน่วยงานที่ควรเฝ้าระวังการทุจริตเช่นเดียวกัน
จะเห็นได้ว่าจากสถานการณ์ทุจริตดังกล่าว เป็นข้อมูลสําคัญที่สำนักงาน ป.ป.ช. จะได้นำมาใช้ในการกำหนดนโยบาย มาตรการ และแนวทางในการพัฒนางานป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพต่อไป อาทิเช่น
- การกำหนดแผนปฎิบัติการในรูปแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
- ดำเนินการเชิงรุกในการจัดการปริมาณเรื่องร้องเรียนของหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่บริหารจัดการโครงการที่มีงบประมาณสูงเกินกว่า 500 ล้านบาทขึ้นไป โดยกำหนดแนวทางในการป้องกันการทุจริตที่เหมาะสมกับประเภทของเรื่อง
- การวิเคราะห์ปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การวางแผนในเรื่องการลดระยะเวลา การดำเนินการปราบปรามการทุจริตทุกขั้นตอน
- การกำหนดความเสี่ยงในการทุจริตประเภทต่าง ๆ ที่จะดําเนินการในแต่ละช่วงปีงบประมาณ เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการยับยั้งการทุจริตก่อนที่จะมีการกระทำผิดเกิดขึ้น
- การผลักดันนโยบายการดําเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ภายใต้คณะกรรมการผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จังหวัด ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยบูรณาการการทำงานด้านการต่อต้านการทุจริตร่วมกันระหว่างหน่วยงานในระดับภูมิภาค โดยอาจสนับสนุนหน่วยงานของรัฐในการจัดทําและวิเคราะห์แผนความเสี่ยงของแต่ละหน่วยงานในด้านการต่อต้านการทุจริต การสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ถูกกล่าวหาร้องเรียน ในเรื่องของรูปแบบการกระทําความผิด ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบทลงโทษของการทุจริต เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้และไม่คิดกระทําการทุจริต ซึ่งอาจเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ส่งผลให้จำนวนเรื่องกล่าวหาร้องเรียนลดลง
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nacc.go.th
รายละเอียดเพิ่มเติม
................................................................................