จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 22
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 3 เรื่อง
วันนี้ (16 ตุลาคม 2568) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหา นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กับพวก ทุจริตเงินอุดหนุนสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ปีงบประมาณ 2560 ที่จัดสรรให้กับนิคมสร้างตนเองรัตภูมิ จังหวัดสงขลา นิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสตูล นิคมสร้างตนเองเบตง จังหวัดยะลา ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดพัทลุง และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดยะลา (5 สำนวนคดี)
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ 2560 ก่อนที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการจะจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจประเภทเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งให้แก่นิคมสร้างตนเอง และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้สั่งการด้วยวาจาไปยังผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสตูล ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองเบตง จังหวัดยะลา ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดพัทลุง และผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดยะลา ว่ากรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการจะจัดสรรเงินอุดหนุนสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ประจำปีงบประมาณ 2560 โดยมีเงื่อนไขว่านิคมสร้างตนเองและศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งที่ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าวจะต้องนำเงินส่งกลับคืนให้แก่ส่วนกลางจำนวนร้อยละ 30 – 35 ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร ต่อมาเมื่อนิคมสร้างตนเองและศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งแต่ละแห่งได้รับโอนเงินอุดหนุนสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ประจำปีงบประมาณ 2560 แล้ว ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองและผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการขออนุมัติเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ตามระเบียบกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ว่าด้วยเงินอุดหนุนสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2552 จำนวนรายละ 2,000 หรือ 3,000 บาท แล้วนำเงินไปจ่ายให้แก่ผู้มีชื่อรับเงินไม่ครบตามจำนวน เพื่อให้มีเงินส่วนต่างส่งคืนให้แก่นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ ดังนี้
1.นิคมสร้างตนเองรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ได้รับจัดสรรเงินอุดหนุนจำนวนรวม 10,530,000 บาท
เมื่อนายอุทิศ อุทัยรัตน์ ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเอง ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์แล้ว ปรากฏว่าผู้มีชื่อเป็นผู้รับเงินบางรายได้รับเงินน้อยกว่าที่ระบุในใบสำคัญรับเงิน บางรายไม่ได้รับเงิน โดยนายอุทิศ อุทัยรัตน์ ได้นำเงินสงเคราะห์ ที่หักไว้จำนวนร้อยละ 30 ส่งมอบให้นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ เป็นเงินรวม 3,000,000 บาท
3.นิคมสร้างตนเองเบตง จังหวัดยะลา ได้รับจัดสรรเงินอุดหนุนจำนวนรวม 10,270,000 บาท
นายประจบ อินทกาญจน์ ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเอง ได้นำแบบสำรวจข้อมูลผู้ประสบปัญหาทางสังคมให้เจ้าหน้าที่
ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ตรวจเยี่ยมบ้านทั้งที่ไม่มีการลงพื้นที่หรือตรวจเยี่ยมจริง จากนั้นได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์และนำเงินไปจ่ายด้วยตนเอง โดยผู้มีชื่อรับเงินบางรายไม่ได้รับเงินหรือได้รับเงินเพียงบางส่วน และมีการปลอมลายมือชื่อของผู้รับเงิน แล้วนำเงินจำนวนร้อยละ 35 ของเงินที่ได้รับจัดสรร เป็นเงินจำนวน 3,394,500 บาท ส่งมอบให้กับนายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์
4.ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดพัทลุง และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดยะลา ไม่ได้ทำหนังสือขอรับจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติม แต่นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ แจ้งให้จัดทำหนังสือขอรับจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติมย้อนหลังตามที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้โอนเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้ ดังนี้
4.1 ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดพัทลุง ได้รับจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติมรวมจำนวน 11,500,000 บาท นายชัยชาติ มหาสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ได้หักเงินไว้ร้อยละ 50 ของเงินที่ได้รับจัดสรร เพื่อให้มีเงินส่วนต่างจำนวน 3,000,000 บาท (ร้อยละ 30) ส่งคืนให้แก่นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ ส่วนเงินที่เหลือร้อยละ 20 เป็นเงินจำนวน 2,000,000 บาท นายชัยชาติ มหาสุวรรณ ได้เบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งไม่ได้รับเงินสงเคราะห์หรือได้รับเงินไม่ครบตามจำนวนที่ขออนุมัติเบิกจ่าย
4.2 ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดยะลา ได้รับจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติมรวมจำนวน 10,000,000 บาท นางบุญเรือน นามตาปี ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่นำเงินสงเคราะห์ไปมอบให้ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งไม่ครบตามจำนวนที่ขออนุมัติเบิกจ่าย แล้วนำเงินจำนวนร้อยละ 30 ของเงินที่ได้รับจัดสรร เป็นเงิน 2,700,000 บาท ส่งมอบให้กับนายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
1. การกระทำของนายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 103 ประกอบมาตรา 122 และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2543 ข้อ 5 (2) และมาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ประกอบมาตรา 169 และมาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แล้วแต่กรณีและมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
สำหรับความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง เนื่องจากสำนักปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีคำสั่งลงโทษไล่นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ ออกจากราชการ และกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้มีคำสั่งลงโทษปลดนายประจบ อินกาญจน์ และนางบุญเรือน นามตาปี ออกจากราชการ ในการกระทำความผิดนี้เหมาะสมแก่กรณีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยอีก ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี และให้แจ้งกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน
กรณีกล่าวหา นายณรงค์ คงคำ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กับพวกทุจริตเงินอุดหนุนสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ปีงบประมาณ 2560 ที่จัดสรรให้กับนิคมสร้างตนเองปราสาท จังหวัดสุรินทร์
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน 2559 นายณรงค์ คงคำ
ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีหน้าที่กำกับดูแลนิคมสร้างตนเองปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ได้โทรศัพท์สั่งการไปยังนายประยุทธ พานิชนอก ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ว่าในปีงบประมาณ 2560 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการจะจัดสรรเงินงบประมาณประเภทเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งให้แก่นิคมสร้างตนเองปราสาท จังหวัดสุรินทร์ และต้องนำส่งเงินกลับคืนให้ส่วนกลางไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ต่อมาเมื่อนิคมสร้างตนเองปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ได้รับโอนเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ปีงบประมาณ 2560 แล้วนายประยุทธ พานิชนอก ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงลายมือชื่อวินิจฉัยให้การสงเคราะห์ในแบบสำรวจข้อมูลผู้ประสบปัญหาทางสังคม โดยมิได้ทำการสำรวจคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเงินสงเคราะห์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ว่าด้วยการสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2552 และนายประยุทธ พานิชนอก ได้ลงนามอนุมัติเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ซึ่งจ่ายให้กับกลุ่มอาชีพ 39 กลุ่ม จำนวน 12 ฎีกา เป็นเงินรวม 8,447,000 บาท แต่มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อรับเงินตามฎีกาเบิกจ่ายเพียงจำนวน 2,149,200 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 6,297,800 บาท ไม่ได้นำจ่ายให้แก่ผู้มีชื่อรับเงิน โดยนายประยุทธ พานิชนอก ได้นำเงินส่วนต่างดังกล่าวส่งมอบให้นายณรงค์ คงคำ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ จำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,250,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
สำหรับความผิดทางวินัย เนื่องจากสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีคำสั่งลงโทษไล่นายณรงค์ คงคำ ออกจากราชการ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้มีคำสั่งลงโทษปลดนายประยุทธ พานิชนอก ออกจากราชการ และลงโทษตัดค่าจ้างและลดเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดในเรื่องนี้แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐานและคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัยอีก ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และให้แจ้งกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน
กรณีกล่าวหา นางสาวภรณ์ภัทร์ธัญ หรือธัญภรณ์ภัทร์ งามวงศ์เงิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง กับพวก เรียกเก็บเงินค่าบำรุงการศึกษาของโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง ปีการศึกษา 2562 - 2563 โดยมิชอบ และเบียดบังเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตน รวมจำนวน 3,099,013 บาท
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ขณะที่นางสาวภรณ์ภัทร์ธัญ หรือธัญภรณ์ภัทร์ งามวงศ์เงิน ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง และนายวัฒนพงษ์ หรือวัฒนาพงษ์ กนกแก้ว ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง ได้ร่วมกันเรียกเก็บเงินค่าเรียนนอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือเงินค่าบำรุงการศึกษาจากผู้ปกครองหรือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 ปีการศึกษา 2562 และ 2563 รวมเป็นเงินจำนวน 8,529,600 บาท โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่ได้รับอนุมัติจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง และไม่นำเงินดังกล่าวฝากเข้าบัญชีรายได้สถานศึกษาของโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง แต่กลับนำไปฝากไว้ในบัญชีสวัสดิการโรงเรียนซึ่งตนเป็นผู้มีอำนาจลงนามสั่งจ่าย และได้นำเงินดังกล่าวไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่เรียกเก็บเพียงจำนวน 4,462,387 บาท นอกจากนี้ยังได้ร่วมกันนำเงินจากบัญชีเงินฝากอื่นๆ ของโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง จำนวน 3 บัญชี เป็นเงินรวม 400,000 บาท ย้ายไปฝาก ในบัญชีสวัสดิการโรงเรียนแล้วร่วมกันเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวโดยไม่มีเอกสารหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย หรือโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก ของตนเอง เป็นเหตุให้มีเงินคงเหลือในบัญชีเพียงจำนวน 1,368,200 บาท รวมเป็นเงินที่นางสาวภรณ์ภัทร์ธัญ หรือ ธัญภรณ์ภัทร์ งามวงศ์เงิน และนายวัฒนพงษ์ หรือวัฒนาพงษ์ กนกแก้ว ได้ร่วมกันเบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตน จำนวนทั้งสิ้น 3,099,013 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
การกระทำของนางสาวภรณ์ภัทร์ธัญ หรือธัญภรณ์ภัทร์ งามวงศ์เงิน และนายวัฒนพงษ์ หรือวัฒนาพงษ์ กนกแก้ว มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
สำหรับความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง เนื่องจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยองได้มีคำสั่งลับที่ 3/2565 ลงวันที่ 4 มกราคม 2565 ลงโทษไล่นางสาวภรณ์ภัทร์ธัญ หรือธัญภรณ์ภัทร์ งามวงศ์เงิน และนายวัฒนพงษ์ หรือวัฒนาพงษ์ กนกแก้ว ออกจากราชการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2565 จึงไม่มีเหตุที่จะต้องส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (2) และมาตรา 98 อีก ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และให้แจ้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ เพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน ………………………………………………………
"การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด
ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด"