"การปลอมเอกสารสัญญาจ้างทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเพื่อเบียดบังเอาเงินที่จ่ายเงินค่าจ้างตอบแทนให้เกินไปเป็นของตนเอง"
นาย ส. เป็นข้าราชการ ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาสำนักงาน ส. ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่องค์การรัฐวิสาหกิจ ว. ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการองค์กรและกฎหมาย ในการช่วยราชการนี้ได้มีการทำสัญญาจ้างกันนาย ส. มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน กำหนดจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายเดือน เดือนละ 80,000 บาท ทุกสิ้นเดือน ต่อมานาย ส. ได้นำเอกสารสัญญาจ้างออกไปจากแผนกทรัพยากรบุคคล และต่อมาได้นำมาส่งคืนปรากฏว่าสัญญาจ้างแผ่นที่ 2 เดิมที่มีตัวเลขค่าจ้าง 80,000 บาท ถูกนำออกไปแล้วมีสัญญาจ้างเฉพาะแผ่นที่ 2 ที่ระบุอัตราค่าตอบแทนรายเดือนเป็นจำนวนเงิน 120,000 บาท ใส่ไว้แทน และต่อมาก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้างในแผ่นที่ 2 ใหม่อีกครั้ง โดยดึงสัญญาจ้างแผ่นที่ 2 ที่ระบุอัตราค่าจ้าง 120,000 บาทออกแล้วนำสัญญาจ้างเฉพาะแผ่นที่ 2 ซึ่งระบุอัตราจ้างจำนวน 100,000 บาทมาใส่ไว้แทน การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุทำให้องค์การรัฐวิสาหกิจ ว. ได้โอนเงินค่าตอบแทนเข้าบัญชีเงินฝากของนาย ส. จำนวน 3 ครั้ง ทำให้นาย ส. ได้รับเงินค่าตอบแทนเกินกว่าที่ตกลงกันจริงเป็นเงินจำนวน 88,412.23 บาท
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนาย ส. มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามกฎ ก.ร. ฉบับที่ 14 (พ.ศ.2537) ข้อ 3 (2) วรรคสาม และ (17) วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. 2518 มาตรา 48 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดทางวินัยของข้าราชการ ซึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานที่มิใช่ส่วนราชการ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ และฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา266 และมาตรา 268