Contrast
Font
banner_default_2.jpg

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญ กรณีปลอมลายมือชื่อผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินในใบถอนเงิน และเบียดบังยักยอกเงินงบประมาณของโรงเรียนบ้านจัดสรร ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว และช่วยเหลือปกปิดผู้กระทำผิด

จากไชต์: สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตราด
จำนวนผู้เข้าชม: 18

15/10/2568

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญ จำนวน 1 เรื่อง

สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตราด แถลงเรื่องคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญ
กรณีปลอมลายมือชื่อผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินในใบถอนเงิน และเบียดบังยักยอกเงินงบประมาณของโรงเรียนบ้านจัดสรรไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ดังนี้

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นดำเนินการไต่สวนเบื้องต้น กรณีกล่าวหานางสาว ก. ตำแหน่ง ครู คศ. 1 โรงเรียนบ้านจัดสรร อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ในฐานะเจ้าหน้าที่การเงิน ปลอมลายมือชื่อนาย ข. ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านจัดสรร ในใบถอนเงินนำไปยื่นต่อธนาคารเบิกถอนเงินงบประมาณของโรงเรียนบ้านจัดสรรแล้วเบียดบังยักยอกเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว

          ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนเบื้องต้นปรากฏว่า นางสาว ก. และนาย ข. เป็นผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินอุดหนุนอื่น และบัญชีเงินโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนบ้านจัดสรร แต่นางสาว ก. ได้อาศัยตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงิน และผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อลงนามเบิกถอนเงินงบประมาณของโรงเรียนดังกล่าวเบียดบังเอาเงินไปเป็นของตนเองโดยทุจริต ด้วยการปลอมลายมือชื่อของนาย ข. และ/หรือกรอกข้อความใด ๆ ลงในใบถอนเงินที่ปรากฏลายมือชื่อของนาย ข. โดยไม่ได้รับความยินยอมแล้วนำใบถอนเงินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิไปยื่นแสดงต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง หรือเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของนาย ข. เบิกถอนเงินนั้นแล้วเบียดบังเงินนั้นเป็นของตนเองโดยทุจริต รวม 6 ครั้ง อันเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ รวมเป็นเงิน 245,200 บาท

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติว่า

          การกระทำของนางสาว ก. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ฐานทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริงหรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปลอมเอกสาร ฐานกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสาร ฐานปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ฐานใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151, 157, 161, 264, 265, 268 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

          มูลความผิดทางวินัย ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล ประมาทเลินเล่อ หรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ หรือกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง แต่เนื่องจากผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการแล้ว ตามคำสั่งที่ 72/2567 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 (หมาย อ. 44) จึงไม่มีเหตุต้องดำเนินการทางวินัยอีก

          การกระทำของนาย ข. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ไม่เป็นมูลความผิดทางอาญา เห็นควรให้ข้อกล่าวหาทางอาญาตกไป แต่เป็นมูลความผิดทางวินัยฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยประมาทเลินเล่อ และขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ โดยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง และมาตรา 85

          ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนางสาว ก. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และเห็นควรส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนเอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนของนาย ข. เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (2) ประกอบมาตรา 98 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

---------------------------------------------

การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด

ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด

---------------------------------------------

Related