Contrast
Font
f0a5a8163de234a2180e16c2136753f5.jpg

ป.ป.ช. ติดตามมาตรการป้องกันเจ้าหน้าที่ทุจริต ลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำ

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 954

04/07/2566

ป.ป.ช. ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ นำโดยนายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และผู้แทนหน่วยงานภายในกรมราชทัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าติดตามการดำเนินการตามมาตรการ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบมาตรการดังกล่าว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 เพื่อมุ่งขับเคลื่อนปัญหายาเสพติดในเรื่อนจำ

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 นางลัดดา  เดือนสว่าง ผู้อำนวยการสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ประชุมร่วมกับคณะผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ โดยมี นายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธานในที่ประชุม เพื่อติดตามการดำเนินการตามมาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน ซึ่งเป็นไปตามมาตรการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เสนอและคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 โดยมีประเด็นการประชุมหารือที่สำคัญ ได้แก่ ความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำ สถิติการจับกุม/การลักลอบใช้อุปกรณ์สื่อสารในเรือนจำและทัณฑสถาน และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของกรมราชทัณฑ์

ที่ผ่านมาปัญหาการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถานเป็นปัญหาที่สำคัญ ซึ่งจากข้อเท็จจริงพบว่า มีการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน โดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเรือนจำและทัณฑสถานกระทำการทุจริต โดยรู้เห็นเป็นใจและรับผลประโยชน์จากกลุ่มผู้ต้องขังหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจค้นผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าที่ด้วยกัน หรือเกิดความเกรงกลัวผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 รวม 4 กรณี สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

  1. กรณีผู้ต้องขังภายในเรือนจำที่เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเงินสามารถติดต่อสั่งการค้ายาเสพติดได้อย่างอิสระกับเครือข่ายภายนอกเรือนจำให้เรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศห้ามเจ้าหน้าที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ในเรือนจำและทัณฑสถานให้มีกระบวนการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกับผู้ให้บริการเครือข่ายในการตรวจจับสัญญาณการโทรออกเป็นรายวัน โดยส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องเพื่อมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและรายงานให้กรมราชทัณฑ์ทราบเพื่อจะลงโทษผู้บัญชาการเรือนจำ และขยายผลการปราบปราม

ให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้รับอนุญาตด้านโทรคมนาคมที่ต้องดูแลด้านความมั่นคงของรัฐ เมื่อได้รับการร้องขอ ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของผู้รับใบอนุญาตที่ต้องดำเนินการในทุก ๆ ด้าน หากไม่สามารถทำได้อาจจะถูกพิจารณาเปลี่ยนแปลงใบอนุญาตหรือยกเลิกใบอนุญาต

  1. กรณีการตรวจพบยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถานให้กรมราชทัณฑ์เปิดเผยผลการตรวจจับยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายในเรือนจำและทัณฑสถานให้สาธารณชนได้รับทราบ โดยเปิดเผยผลการดำเนินการเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ที่ปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบซื้อขายยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายในเรือนจำและทัณฑสถานด้วย
  2. กรณีผู้ต้องขังให้สินบนกับเจ้าหน้าที่เพื่อใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ทำให้เกิดการซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาประกาศกำหนดตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่เรือนจำที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) โดยกรมราชทัณฑ์จัดทำแนวทางในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินคดีอาญาและการลงโทษทางวินัยของเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิดต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง
  3. กรณีผู้ต้องขังในเรือนจำที่เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเงินสามารถสั่งการให้เครือข่ายค้ายาเสพติดข่มขู่หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมราชทัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จัดให้มีชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมมือทำงานเป็นการถาวร สังเกตการณ์ควบคุมดูแลผู้ต้องขังคดียาเสพติดรายใหญ่ที่ถูกคุมตัวในเรือนจำความมั่นคงสูงสุด เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งรัฐบาลจะต้องสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้อง โดยให้กรมราชทัณฑ์เป็นหน่วยงานเจ้าภาพ และให้รัฐบาลมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลเนื่องจากบางกรณีเจ้าหน้าที่อาจถูกบีบบังคับจากผู้มีอิทธิพล และเมื่อร้องเรียนตามกระบวนการแต่ไม่มีผลการดำเนินการที่จะคุ้มครองเจ้าหน้าที่ได้ ทั้งนี้ ให้เจ้าหน้าที่ร้องเรียนต่อชุดปฏิบัติการพิเศษเพื่อดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป

ทั้งนี้ ในการประชุมหารือดังกล่าว ได้มีการติดตามผลการดำเนินการ ปัญหา อุปสรรค ตลอดจนข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ในการพัฒนาการดำเนินการตามมาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

----------------------------------------------

 

มาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริต

เกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน

 

 15 ธันวาคม 2563 - คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ “มาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน” ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ

 

ตุลาคม 2564กรมราชทัณฑ์ ประกาศใช้ “แผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำ” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2568 (แผน 4 ปี)

 

1 เมษายน 2565 - กรมราชทัณฑ์ ประกาศ “มาตรการป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตเกี่ยวกับการสลักลอบซื้อขายยาเสพติดภายในเรือนจำและทัณฑสถาน

 

28 มิถุนายน 2566 - สำนักงาน ป.ป.ช. ประชุมร่วมกับคณะผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ เพื่อติดตามการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว

 

 

Related