จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 297
ป.ป.ช. เผย ประเทศไทยมีการวางมาตรการป้องกันและปราบปราม การให้ และ รับสินบนเจ้าหน้าที่ของต่างประเทศ ตอกย้ำ ความร่วมมือในการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) ซึ่งขณะนี้ได้มีการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญการประเมินติดตาม (the Implementation Review Group: IRG) การขับเคลื่อนภารกิจตามอนุสัญญา ฯ สมัยที่ 14 ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย โดย ป.ป.ช. ได้แสดงความมุ่งมั่นในการพัฒนากฎหมาย มาตรการ และแนวปฏิบัติทั้งป้อง ปราบ อย่างจริงจัง
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างที่ประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญการประเมินติดตาม (the Implementation Review Group: IRG) สมัยที่ 14 โดยมีนางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วม เพื่อรายงานความคืบหน้าของประเทศไทยซึ่งดำเนินการในฐานะรัฐผู้ถูกประเมินเสร็จสิ้นแล้วในการประเมินทั้ง 2 รอบ โดยแสดงความมุ่งมั่นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานกลางของประเทศไทยในการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต หรือ UNCAC ในการพัฒนากฎหมาย มาตรการ และแนวปฏิบัติทั้งด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้สอดคล้องกับพันธกรณีแห่งอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันการให้หรือเรียกรับสินบนจากเจ้าพนักงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันภายใต้อนุสัญญา ฯ ที่ในส่วนของประเทศไทยได้มีมาตรการทางกฎหมายรองรับไว้เพื่อเป็นการป้องกัน อาทิ มาตรา 176 ซึ่งเป็นความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ โดยระบุในวรรคหนึ่งว่า “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหนักงานรัฐ เจ้าหน้าที่จองรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
ด้านนายวันชัย รุจนวงศ์ อดีตอธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวในงานถอดรหัสคอร์รัปชันจัดโดย สำนักงาน ป.ป.ช. ว่า ทุกประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ซึ่งมีรัฐภาคีทั้งหมด 186 ประเทศทั่วโลก จะต้องมีการวางมาตรการและกฎหมายในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และหนึ่งในนั้นที่เป็นข้อกำหนดให้ทุกประเทศต้องดำเนินการคือ ไปทำกฎหมายลงโทษ 2 เรื่อง ได้แก่ 1.ลงโทษคนให้สินบน 2.ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่เรียกรับสินบน
สำหรับประเทศไทย หากพบการทุจริตเกี่ยวกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่ในต่างประเทศ หรือ เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศจะมีความผิด โดยมีมาตรการต่างๆ ที่สอดคล้องกับอนุสัญญา ทำให้เห็นได้ว่าประเทศไทยเราไม่ได้ปราบปามการทุจริตในประเทศเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระกระทำที่เชื่อมโยงในต่างประเทศด้วย แม้กระบวนการเอาผิดอาจยากกว่า เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจาก 2 ประเทศ แต่ก็มีกรณีศึกษาที่เห็นได้ว่าจากความร่วมมือกัน และมาตรการที่วางกรอบบทลงโทษไว้ ทำให้สามารถเอาผิดผู้ที่กระทำการทุจริตได้ เช่น กรณีอดีตผู้ว่าการ ททท.รับเงินใต้โต๊ะเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ซึ่งได้มีการรับเงินตอบแทนจาก สามี-ภรรยาชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นนักธุรกิจภาพยนตร์ เพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2002-2007 (หรือปี พ.ศ. 2545-2550) มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท แม้ผู้กระทำความผิดมีวิธีการปกปิดที่แยบยล โดยเอาเงินสินบนไปต่างประเทศโดยใช้บัญชีของลูกสาว แต่ทางสหรัฐอเมริกามีการตรวจสอบพบความผิดปกติจากบัญชีการเงินของนักธุรกิจดังกล่าว จึงได้มีการสอบสวนและทราบว่ามีการให้สินบนเกิดขึ้น จึงได้แจ้งข้อมูลมาในไทย ทำให้ไทยได้ดำเนินคดีเอาผิดตามกฎหมายได้ในที่สุด เช่นเดียวกับกรณีเจ้าท่ารับ เรียกรับสินบนจากบริษัทญี่ปุ่น เพื่อให้สามารถเอาเรือออกจากท่าได้ แต่เมื่อถึงประเทศญี่ปุ่นญี่ปุ่นพบความผิดปกติในรายการเดินบัญชีจึงได้มีการสืบสวนลงโทษ และส่งข้อมูลมายังประเทศไทย ส่งผลให้สามารถสืบทราบและดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ของไทยได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการร่วมมือกันระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญา UNCAC ซึ่งมีการวางมาตรการ ภารกิจภายใต้อนุสัญญา ฯ จนสามารถเอาชนะคนโกงให้ไม่สามารถรอดพ้นจากกฎหมายได้ในที่สุด