จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 475
ป.ป.ช. ตรวจสอบกรณี รฟท. จัดซื้อหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อ “โควิด-19” งบ 96 ล้าน หลังมีกระแสข่าวไม่ได้ใช้งาน
สำนักงาน ป.ป.ช. สังเกตการณ์ ตามรายงานจากศูนย์ CDC ให้ตรวจสอบกรณีตามกระแสข่าวเกี่ยวกับการจัดซื้อ “หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (UV-C) 20 ตัว ของ รฟท.” ใช้งบ 96.3 ล้านบาท แต่ถูกทิ้งไม่ได้ใช้งาน
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (สำนักงาน ป.ป.ช.) ลงพื้นที่ขอทราบข้อเท็จจริงและสังเกตการณ์การใช้งาน หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ ยูวีซี (UV-C) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามที่ ศูนย์ป้องปรามการทุจริตแห่งชาติ ของ สำนักงาน ป.ป.ช. (Corruption Deterrence Center: CDC) ได้รับแจ้งเรื่องกรณีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดซื้อหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) จำนวน 20 ตัว ภายใต้การดำเนินโครงการ “งานจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) จำนวน 20 ตัว ของการรถไฟแห่งประเทศไทย” งบประมาณวงเงิน 96,300,000 บาท โดยกรณีดังกล่าวมีการตั้งประเด็นสงสัยว่า เป็นการดำเนินการที่มีความคุ้มค่าและใช้ประโยชน์ได้จริงหรือไม่
ทั้งนี้ นางสาวฐิติวรดา เอกบงกชกุล ผู้อำนวยการสำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช. พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์การใช้งานหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) และร่วมสอบถามข้อมูลจาก นางฐานิยาร์ เดชอุดม ผู้อำนวยการฝ่ายพัสดุ และเจ้าหน้าที่ รฟท. ที่ โรงซ่อมประจำวัน (Daily Maintenance) สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์
ในการลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการครั้งนี้ ได้รับการชี้แจงข้อมูลและรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่ รฟท. ว่า โครงการนี้ได้เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด-19” ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดและมีมาตรการในการป้องกันให้ได้รับการยอมรับว่า การใช้บริการทางรถไฟเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยและปลอดเชื้อสำหรับผู้โดยสาร ให้เป็นที่ยอมรับมาตรฐานในระดับสากล ทาง รฟท. จึงจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการในการทำให้ขบวนรถและสถานีรถไฟทุกแห่งปลอดเชื้อ ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ โดยอาศัยคุณสมบัติเฉพาะของเครื่องมือที่จะสามารถหยุดยั้งเชื้อไวรัส “โควิด-19” ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความปลอดภัยต่อผู้โดยสารและผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนรถและสถานีต่าง ๆ
ดังนั้น รฟท. จึงจัดหา หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) ที่มีความสามารถในการทำลาย DNA และ RNA ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส สปอร์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีและมีประสิทธิภาพ มาจำนวน 20 ตัว โดยผ่านการดำเนินการด้วยวิธีคัดเลือก วงเงินงบประมาณ 96,300,000 บาท ซึ่งในวงเงินดังกล่าว ไม่ใช่เป็นแค่มูลค่าเฉพาะหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคจำนวน 20 ตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแล บำรุงรักษา ซ่อมแซม และรับประกันตลอด 2 ปีเต็ม รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้วยการจัดอบรม เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ รฟท. จำนวน 30 คน ให้มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถใช้งานหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
โดย รฟท. ได้นำหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อดังกล่าว มาใช้งานบนขบวนรถโดยสารและตามสถานีต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับขั้นตอนการจัดซื้อได้ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ด้วยการเปิดให้เสนอราคา ประมูลแข่งขันอย่างเป็นธรรม ตามระเบียบอย่างเคร่งครัด มีการตรวจสอบราคาตามขั้นตอนอย่างถูกต้องและโปร่งใส จนกระทั่งสามารถจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อไวรัสฯ ทั้ง 20 ตัว มาใช้งานบนสถานีต้นทางไปถึงปลายทาง ทั้งที่สถานีกรุงเทพ 4 ตัว สถานีเชียงใหม่ 2 ตัว สถานีหนองคาย 2 ตัว สถานีอุบลราชธานี 2 ตัว สถานีชุมทางหาดใหญ่ 2 ตัว สำนักงานและพื้นที่ปฏิบัติงานของพนักงาน รฟท. 3 ตัว และสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ อีก 5 ตัว ซึ่งจากสถิติตั้งแต่นำหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อฯ มาใช้งานกับ รฟท. พบว่า ผู้โดยสารกว่า 17 ล้านคน ไม่มีใครติดเชื้อ “โควิด-19” จากการมาใช้บริการเดินทางโดยรถไฟหรือที่สถานีเลย ถือเป็นความสำเร็จและคุ้มค่าในการช่วยยับยั้งการแพร่ระบาด และลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียให้แก่ประชาชน ตลอดจนทำให้รถไฟยังเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นที่พึ่งของประชาชนและสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โดยไม่ได้ปล่อยทิ้งไว้ตามสถานีให้เปล่าประโยชน์ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจนในการตรวจสอบด้านการใช้งานหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคฯ ของ รฟท. ทางสำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช. จึงได้ขอให้ทาง รฟท. ประเมินผลการดำเนินการ ในการใช้งานหุ่นยนต์ดังกล่าวทุกตัวจากสถานีรถไฟทุกแห่งอย่างจริงจังและมีความต่อเนื่อง เพื่อแสดงความโปร่งใสในการใช้งบประมาณของภาครัฐอย่างคุ้มค่า ให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด ตรงตามวัตถุประสงค์หลักของโครงการก็คือเพื่อดูแลและป้องกันสุขอนามัยของผู้โดยสารจากเชื้อ “โควิด-19”