จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 884
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 6 เรื่อง
วันนี้ (4 กันยายน 2568) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 6 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายไตรศักดิ์ ปัทมรัฐจิรนนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท นำเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำพร้อมท่อสูบน้ำของเทศบาลตำบลเจ้าพระยาไปใช้ประโยชน์ส่วนตน และสั่งการให้ลูกจ้างของเทศบาลตำบลเจ้าพระยาและเลขานุการนายกเทศมนตรีตำบลเจ้าพระยาไปทำงานในกิจการของตน
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปี พ.ศ. 2560 ขณะนายไตรศักดิ์ ปัทมรัฐจิรนนท์ ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ได้นำทรัพย์สินของเทศบาลตำบลเจ้าพระยา ประกอบด้วยเครื่องตัดหญ้า จำนวน 8 เครื่อง และเครื่องสูบน้ำจำนวน 2 เครื่อง พร้อมท่อสูบน้ำ ไปใช้งานและเก็บรักษาไว้ที่ฟาร์มเลี้ยงไก่ปัทมรัฐจิรนนท์ฟาร์ม และศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวง หรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของนายไตรศักดิ์ ปัทมรัฐจิรนนท์ โดยไม่ปรากฏหลักฐานการได้รับอนุญาตจากเทศบาลตำบลเจ้าพระยา อีกทั้งยังสั่งการให้ลูกจ้างของเทศบาลตำบลเจ้าพระยาและเลขานุการนายกเทศมนตรีตำบลเจ้าพระยา รวมจำนวน 4 ราย ไปดูแลกิจการของตนที่ศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวง หรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ ในวันและเวลาราชการเป็นประจำ อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อเทศบาลตำบลเจ้าพระยา
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
การกระทำของนายไตรศักดิ์ ปัทมรัฐจิรนนท์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐานและคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ และให้แจ้งเทศบาลตำบลเจ้าพระยา ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายเสถียร ควบพิมาย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลรังกาใหญ่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) หมู่ที่ 5
บ้านตะปัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 2 โครงการ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ขณะที่นายเสถียร ควบพิมาย ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลรังกาใหญ่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เทศบาลตำบลรังกาใหญ่ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) สายท่าเยี่ยม - สะพานขอน หมู่ที่ 5 บ้านตะปัน ตามสัญญาจ้าง เลขที่ 2/2561 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2560 วงเงิน 219,000 บาท และโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) สายบ้านนายสมทรง หมู่ที่ 5 บ้านตะปัน ตามสัญญาจ้างเลขที่ 3/2561 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2560 วงเงิน 115,000 บาท นายเสถียร ควบพิมาย ได้เข้ามีส่วนได้เสียในการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยอนุมัติให้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจงกับห้างหุ้นส่วนจำกัด นิภาพืชผลก่อสร้าง ซึ่งเป็นกิจการในครอบครัวของนายเสถียร ควบพิมาย แต่ใช้ชื่อนางสาวปาริชาต กาศก้อง เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในการประกอบกิจการของห้าง ในการก่อสร้างถนนทั้งสองโครงการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด นิภาพืชผลก่อสร้าง ได้ว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่น เป็นผู้ทำงานก่อสร้าง ในราคาตารางเมตรละ 300 – 500 บาท และได้นำรถบรรทุก (คอนกรีตผสมเหลว) ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประพันธ์ ควบพิมาย ประธานสภาเทศบาลตำบลรังกาใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด นิภาพืชผลก่อสร้าง และเป็นบุตรชายของนายเสถียร ควบพิมาย มาใช้ในการดำเนินการก่อสร้าง ภายหลังจากที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ นายเสถียร ควบพิมาย ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าจ้างให้กับห้างหุ้นส่วนจำกัด นิภาพืชผลก่อสร้าง ซึ่งมีนางสาวหทัยทิพย์ ควบพิมาย บุตรสาวของนายเสถียร ควบพิมาย เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนและสั่งจ่ายเงินในบัญชีเงินฝากของห้างหุ้นส่วนจำกัด นิภาพืชผลก่อสร้าง แต่เพียงผู้เดียว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ ให้แจ้งเทศบาลตำบลรังกาใหญ่ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ เพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง และให้แจ้งข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำของห้างหุ้นส่วนจำกัด นิภาพืชผลก่อสร้าง นางสาวปาริชาต กาศก้อง หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด นิภาพืชผลก่อสร้าง และนางสาวหทัยทิพย์ ควบพิมาย ไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้เป็นผู้มีลักษณะเป็นผู้ทิ้งงาน ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา พันจ่าเอก พิเชษฐ์ ไพรพยอม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในโครงการถมดินปรับพื้นที่โรงเรียนอนุบาลเทสก์
เทสรังสีอุปถัมภ์ เมื่อปี พ.ศ. 2561 และขุดดินจากแปลงข้างเคียงซึ่งเป็นที่ราชพัสดุเพื่อนำมาใช้ถมดินโครงการดังกล่าว
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 องค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ได้จัดจ้างถมดินปรับพื้นที่โรงเรียนอนุบาลเทสก์ เทสรังสีอุปถัมภ์ งบประมาณ 200,000 บาท โดยวิธีเฉพาะเจาะจง
ในขั้นตอนการจัดจ้าง พันจ่าเอก พิเชษฐ์ ไพรพยอม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท ได้นำเอกสารใบทะเบียนพาณิชย์ของร้าน พี แอนด์ พี กรุ๊ป และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายสงกรานต์ พนาลิกุล เจ้าของร้าน มาให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการจัดจ้างถมดินกับร้าน พี แอนด์ พี กรุ๊ป ตามใบสั่งจ้างเลขที่ 166/2561 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 วงเงิน 200,000 บาท แต่พันจ่าเอก พิเชษฐ์ ไพรพยอม ได้เป็นผู้ดำเนินโครงการดังกล่าวเอง โดยว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นเข้ามาถมดินแทน และให้ผู้รับเหมาทำการขุดดินจากแปลงข้างเคียงที่อยู่บริเวณด้านหลังโรงเรียนอนุบาลเทสก์ เทสรังสีอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุที่อยู่ในความครอบครองและใช้ประโยชน์ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการที่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างที่จะต้องนำดินของผู้รับจ้างมาถมปรับพื้นที่เอง เมื่อดำเนินโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ องค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาทได้สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีเงินฝากร้าน พี แอนด์ พี กรุ๊ป จำนวน 198,000 บาท โดยสมุดบัญชีเงินฝากของร้าน พี แอนด์ พี กรุ๊ป และบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (ATM) อยู่ในความครอบครอง ของพันจ่าเอก พิเชษฐ์ ไพรพยอม
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
การกระทำของพันจ่าเอก พิเชษฐ์ ไพรพยอม มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 152 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 100 (1) ประกอบมาตรา 122 และมาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 126 (1) ประกอบมาตรา 168 และมาตรา 172) และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 64/2 (3) และมาตรา 92
สำหรับนายสงกรานต์ พนาลิกุล จากการไต่สวนเบื้องต้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ถึงแก่ความตายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับพันจ่าเอก พิเชษฐ์ ไพรพยอม ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป
ทั้งนี้ ให้แจ้งองค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
เรื่องที่ 4 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายสมโชค อินณรงค์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนบพิตำ อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในการจัดจ้างโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ขององค์การบริหารส่วนตำบลนบพิตำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 3 โครงการ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 องค์การบริหารส่วนตำบลนบพิตำ อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ดำเนินการจัดจ้างโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 3 โครงการ โดยวิธีเฉพาะเจาะจง นายสมโชค อินณรงค์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลนบพิตำ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการ
จ้างบุคคลที่นายสุทธิพร อินณรงค์ บุตรชายของนายสมโชค อินณรงค์ ขอนำชื่อมาใช้เป็นผู้รับจ้างโครงการก่อสร้าง
ถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สายหัวโคก - ในลุ่ม หมู่ที่ 7 ตามสัญญาจ้างเลขที่ 9/2561 ลงวันที่ 5 มีนาคม 2561 วงเงิน 421,800 บาท โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สายควนดินแดง - บ้านนายช่วง (ช่วงบ้านนายสิบ) หมู่ที่ 8 ตามสัญญาจ้างเลขที่ 15/2561 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2561 วงเงิน 398,000 บาท และโครงการก่อสร้างถนนคอนกรี ตเสริมเหล็ก สายเขาโพธิ์ - หกภู หมู่ที่ 9 ตามสัญญาจ้างเลขที่ 33/2561 ลงวันที่ 17 เมษายน 2561 วงเงิน 398,000 บาท
ในขั้นตอนการก่อสร้างถนนทั้ง 3 โครงการ นายสุทธิพร อินณรงค์ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างด้วยตนเองโดยว่าจ้างชาวบ้านในพื้นที่ในอัตราค่าแรงวันละ 500 บาท โดยมีนายสมโชค อินณรงค์ และนางสาวรัชนีภรณ์ รัตนะ ผู้ช่วยเจ้าพนักงานธุรการ ภรรยาของนายสุทธิพร อินณรงค์ เป็นผู้ประสานงานกับผู้ควบคุมงานในการดำเนินโครงการดังกล่าว ต่อมาเมื่อการก่อสร้างถนนทั้ง 3 โครงการแล้วเสร็จ นายสมโชค อินณรงค์ ได้อนุมัติเบิกจ่ายเช็คค่าจ้างให้แก่ผู้มีชื่อเป็นผู้รับจ้าง จากนั้นบุคคลดังกล่าวได้นำเช็คไปขึ้นเงินและเบิกถอนเงินทั้งหมดมามอบให้กับนายสุทธิพร อินณรงค์ โดยได้รับค่าตอบแทนจากนายสุทธิพร อินณรงค์ เป็นเงินจำนวนโครงการละ 5,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ ให้แจ้งองค์การบริหารส่วนตำบลนบพิตำ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ เพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
เรื่องที่ 5 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นางสาวละอองดาว คุณศิริ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเหล่ากวาง อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กภายในหมู่บ้าน บ้านหนองสนมใต้ หมู่ที่ 11 เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 องค์การบริหารส่วนตำบลเหล่ากวาง อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กภายในหมู่บ้าน บ้านหนองสนมใต้
หมู่ที่ 11 งบประมาณ 200,000 บาท โดยวิธีเฉพาะเจาะจง และนางสาวละอองดาว คุณศิริ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเหล่ากวาง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการจัดจ้างร้านสุพัฒน์ก่อสร้าง ซึ่งเป็นร้านที่นางสาวละอองดาว คุณศิริ ให้นางสุพัฒน์ พรมรักษ์ ญาติของตน ไปจดทะเบียนพาณิชย์บังหน้า เข้าเป็นคู่สัญญาโครงการดังกล่าวตามสัญญาจ้างเลขที่ 10/2561 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 วงเงิน 198,000 บาท โดยมีนายเทอดทูล ศรีฐาน ลูกน้องหรือตัวแทนของนางสาวละอองดาว คุณศิริ เป็นผู้ลงลายมือชื่อนางสุพัฒน์ พรมรักษ์ ในเอกสารการจัดจ้างและเบิกจ่ายเงินและมีนายสำราญ ว่องไว สามีของนางสาวละอองดาว คุณศิริ เป็นผู้จัดหาคนงานและวัสดุมาใช้ในการก่อสร้าง ต่อมาเมื่อมีการนำเช็คค่าจ้างฝากเข้าบัญชีของนางสุพัฒน์ พรมรักษ์ แล้ว นางสาวละอองดาว คุณศิริ ได้ใช้บัตรกดเงินสด (บัตร ATM) ซึ่งตนเป็นผู้ยึดถือครอบครองไว้ ถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวรวมจำนวน 10 ครั้ง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 195,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1)และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป
เรื่องที่ 6 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นางกุลภาภร ป้อมจันทร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาท อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ เข้ามีส่วนได้เสียในสัญญาจ้างงานขององค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาท
จำนวน 8 สัญญา โดยมิชอบ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 – 2559 ขณะดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาท อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ นางกุลภาภร ป้อมจันทร์ ได้เข้าไปมีส่วนได้เสียในสัญญาจ้างทำอาหารและเครื่องดื่มขององค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาท จำนวน 8 สัญญา วงเงินรวม 98,950 บาท โดยนำชื่อของผู้มีอาชีพเกษตรกรรายหนึ่งมาให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำเอกสารจัดจ้างเป็นผู้รับจ้างทำอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากเกษตรกรรายดังกล่าวเคยส่งมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สมุดบัญชีเงินฝาก และบัตร ATM ให้นางกุลภาภร ป้อมจันทร์ เก็บรักษาไว้ขณะเข้าเป็นคู่สัญญาขายอาหารสดให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาท โดยที่บุคคลดังกล่าวไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าตนได้เข้าเป็นผู้รับจ้างและมิได้ลงลายมือชื่อในเอกสารการจัดจ้าง จากนั้นนางกุลภาภร ป้อมจันทร์ ได้เป็นผู้ดำเนินการติดต่อสั่งซื้อสินค้าและนำมาส่งมอบให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาทด้วยตนเอง และเมื่อองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาทอนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าจ้าง จำนวน 8 สัญญา ให้แก่ผู้รับจ้างแล้ว นางกุลภาภร ป้อมจันทร์ ได้นำเอกสารฎีกาเบิกจ่ายเงินและเช็คสั่งจ่ายไปดำเนินการจ่ายเช็คค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างนอกที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาท ก่อนนำเช็คฝากเข้าบัญชีธนาคารของผู้รับจ้างและทำรายการเบิกถอนเงิน หรือทำรายการถอนเงินสดที่ตู้ ATM นำเงินไปเป็นประโยชน์สำหรับตนเอง โดยใช้สมุดบัญชีเงินฝากและบัตร ATM ของบุคคลที่มีชื่อเป็นผู้รับจ้างซึ่งตนเป็นผู้ยึดถือครอบครองไว้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
การกระทำของนางกุลภาภร ป้อมจันทร์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 และให้แจ้งองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาท ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ
เพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
ทั้งนี้ จากการไต่สวนปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้อำนวยการกองคลัง เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี และผู้ช่วยเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ซึ่งยินยอมส่งมอบเอกสารฎีกาเบิกจ่ายเงินค่าจ้างและเช็คธนาคารสั่งจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่นางกุลภาภร ป้อมจันทร์ เพื่อไปดำเนินการจ่ายเช็คค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างนอกสถานที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประสาท เป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 จึงให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอน ดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 64
"การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด"