Contrast
Font
9390bcc0bd431772ba98144be55a1de2.png

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 3 เรื่อง

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 88

20/10/2568

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 3 เรื่อง

 

วันนี้ (20 ตุลาคม 2568) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.    รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 3 เรื่อง ดังนี้ 

 

เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นางสาวสายพิณ บุญรอด      เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบ้านบึง กับพวก ออกโฉนดที่ดิน จำนวน 7 แปลง ในท้องที่ตำบลหนองใหญ่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่รวมประมาณ 799 ไร่ ในเขตปฏิรูปที่ดิน เมื่อปี พ.ศ. 2564 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปี พ.ศ. 2553 นายอนุรักษ์  ตุลาผล กับพวกรวม 6 ราย ได้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบ้านบึง โดยอ้างหลักฐาน ส.ค. 1 เลขที่ 71    หมู่ที่ 4 ตำบลคลองพลู อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ระบุเนื้อที่ 750 ไร่ นายวุฒิไกร  เผือกศรี นายช่างรังวัดชำนาญงาน ทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินที่ขอออกโฉนดดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน แต่กลับไม่ทำการสอบสวนให้ได้ความชัดเจนว่าที่ดินที่ขอออกโฉนดเป็นที่ดินตรงตามหลักฐาน ส.ค. 1 ที่นำมาประกอบคำขอหรือไม่      และนายอนุรักษ์  ตุลาผล  ผู้ขอออกโฉนด และในฐานะผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลหนองใหญ่ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายอำเภอหนองใหญ่  ได้รับรองข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จว่ามีการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองท้องที่หมู่ที่ 4 ตำบลคลองพลู เป็นหมู่ที่ 2 ตำบลหนองใหญ่ จากนั้นนายวุฒิไกร  เผือกศรี ได้จัดทำรายงานผล        การรังวัดว่าที่ดินที่ขอออกโฉนดมีการทำประโยชน์เป็นสวนยางพาราและไร่มันสำปะหลังเต็มทั้งแปลง          และเป็นที่ดินตรงตามหลักฐาน ส.ค. 1 เลขที่ 71 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองพลู โดยมีการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครอง เป็นหมู่ที่ 2 ตำบลหนองใหญ่ 

ต่อมาปรากฏว่าคำขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวค้างอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาออกโฉนดที่ดิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2563 นางสาวสายพิณ  บุญรอด เข้าดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบ้านบึง จึงได้มีคำสั่งที่ 23/2563 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2563 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสภาพที่ดินที่ขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน ตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีเป็นที่ดินที่มีอาณาเขตติดต่อคาบเกี่ยวหรืออยู่ในเขตที่ดินของรัฐ  ซึ่งภายหลังจากที่นางสาวสายพิณ  บุญรอด ได้รับทราบความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบสภาพที่ดินตามบันทึกลงวันที่ 19 เมษายน 2564 ว่าที่ดินที่ขอออกโฉนดในพื้นที่

หมู่ที่ 2 ตำบลหนองใหญ่ ซึ่งอ้างหลักฐาน ส.ค. 1 เลขที่ 71 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองพลู น่าจะไม่ถูกต้องตรงแปลง น่าเชื่อว่า ส.ค. 1 เลขที่ 71 ดังกล่าวมีการออกเอกสารสิทธิไปแล้ว นางสาวสายพิณ  บุญรอด จึงได้เรียกกรรมการตรวจสอบสภาพที่ดิน จำนวน 3 ราย เข้าพบเพื่อโน้มน้าวให้เปลี่ยนแปลงความเห็น เป็นเหตุให้คณะกรรมการตรวจสอบสภาพที่ดินมีมติเสียงข้างมาก จำนวน 3 ใน 4 เสียง ให้ทบทวนมติเดิมและเห็นควรออกโฉนดที่ดินให้กับผู้ขอตามผลการรังวัดเมื่อปี พ.ศ. 2553 โดยไม่ปรากฏว่าได้ทำการสอบสวนหรือรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม และนางสาวสายพิณ บุญรอด ได้ลงนามออกโฉนดที่ดินเลขที่ 5050 – 5056         ตำบลหนองใหญ่ รวมจำนวน 7 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 799 ไร่ ให้แก่ผู้ขอ ในวันที่ 28 มิถุนายน 2564    ซึ่งต่อมาความปรากฏตามแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ เมื่อปี พ.ศ. 2496 ว่าตำแหน่งที่ดินที่มีการออกโฉนด      ทั้ง 7 แปลง มีสภาพเป็นป่าทึบ ไม่มีการทำประโยชน์ ข้างเคียงไม่ปรากฏสภาพพื้นที่ที่สอดคล้องกับหลักฐาน ส.ค. 1 เลขที่ 71 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองพลู และไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองจากหมู่ที่ 4 ตำบลคลองพลู เป็นหมู่ที่ 2 ตำบลหนองใหญ่  ดังนั้น ที่ดินที่มีการออกโฉนดดังกล่าวจึงมิใช่ที่ดินที่มีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ และตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน จึงเป็นการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ      ด้วยกฎหมายในที่ดินที่มีกฎหมายหวงห้ามไว้เพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

  1. การกระทำของนางสาวสายพิณ บุญรอด มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  2. การกระทำของคณะกรรมการตรวจสอบสภาพที่ดิน ประกอบด้วย นายเสรี ดำประไพ นางสาวนุชอนงค์ โพธินามทอง และนายเกรียงศักดิ์ สง่าโฉม มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  3. การกระทำของนายวุฒิไกร เผือกศรี มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  4. การกระทำของนายอนุรักษ์ ตุลาผล ในฐานะผู้แทนนายอำเภอหนองใหญ่ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และการกระทำของนายอนุรักษ์ ตุลาผล ในฐานะผู้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด

สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินรายอื่น จากการไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย
ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และเพื่อดำเนินการขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 5050 – 5056 ตำบลหนองใหญ่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี ทั้งแปลง รวมถึงโฉนดที่ดินที่แบ่งแยกออกจากโฉนดที่ดินดังกล่าวที่ออกไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย     ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) มาตรา 98 และมาตรา 82 ประกอบมาตรา 93 แล้วแต่กรณี

 

ทั้งนี้ ให้แจ้งกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 5050 – 5056 ตำบลหนองใหญ่

อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี ทั้งแปลง รวมถึงโฉนดที่ดินที่แบ่งแยกออกจากโฉนดที่ดินดังกล่าวที่ออกไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 ตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

 

เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายนิติพน สุวรรณมณี         นายช่างรังวัดชำนาญงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการรังวัด ศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน จังหวัดกระบี่ - พังงา - ตรัง กับพวก ร่วมกันเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน เลขที่ 19506 ตำบลถ้ำน้ำผุด อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา เนื้อที่ประมาณ 34  ไร่ ในเขตป่าชายเลน เมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 กระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศกำหนดให้จังหวัดพังงาเป็นจังหวัดที่จะทำการสำรวจรังวัดทำแผนที่เพื่อออกโฉนดที่ดิน ตามมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และกรมที่ดินได้มีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อำนวยการเดินสำรวจ
ออกโฉนดที่ดิน จังหวัดกระบี่ - พังงา - ตรัง โดยมีนายนิติพน  สุวรรณมณี นายช่างรังวัดชำนาญงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการรังวัด และนายมนตรี  สาลิกา นายช่างรังวัดชำนาญงาน ปฏิบัติหน้าที่เดินสำรวจรังวัด
ก่อนเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินบริเวณหมู่ที่ 3 ตำบลถ้ำน้ำผุด อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา ให้แก่นายนิวัฒน์  ปิยนามวาณิช ผู้ครอบครองที่ดิน นายนิติพน  สุวรรณมณี ปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการรังวัด ได้ร่วมกับนายมนตรี  สาลิกา ปฏิบัติหน้าที่เดินสำรวจรังวัด มีหนังสือลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2558 ถึงส่วนบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนที่ 2 ขอให้ตรวจสอบว่าตำแหน่งที่ดินของนายนิวัฒน์  ปิยนามวาณิช อยู่ในเขตป่าชายเลนหรือไม่ โดยร่วมกันจัดทำรูปแผนที่และคำนวณค่าพิกัดฉาก UTM ตามแบบคำนวณเนื้อที่ (ร.ว.25จ) แสดงตำแหน่ง  ของที่ดินคนละตำแหน่งกับที่ดินของนายนิวัฒน์ ปิยนามวาณิช โดยมีระยะทางห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร
ซึ่งไม่อยู่ในเขตป่าชายเลน ทั้งนี้เพื่อให้ส่วนบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนที่ 2 มีหนังสือตอบกลับว่าที่ดินของนายนิวัฒน์  ปิยนามวาณิช ไม่อยู่ในเขตป่าชายเลน ต่อมาในวันที่ 30 มิถุนายน 2558 นายนิวัฒน์ 
ปิยนามวาณิช ได้นำเจ้าหน้าที่เดินสำรวจที่ดินที่มีการครอบครองโดยไม่มีหลักฐานเดิมและไม่ได้แจ้ง
การครอบครองที่ดิน และได้ให้ถ้อยคำต่อผู้สอบสวนสิทธิว่าที่ดินดังกล่าวเจ้าของเดิมได้ครอบครองและทำประโยชน์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2515 โดยมีนายทรงยศ  นาคฤทธิ์ กำนันตำบลถ้ำน้ำผุด ลงลายมือชื่อรับรองว่าที่ดินของนายนิวัฒน์  ปิยนามวาณิช ทำประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยสวนมะพร้าว ปาล์มน้ำมัน และบ่อเลี้ยงกุ้ง ไม่เป็นที่สาธารณประโยชน์ ที่สงวนหวงห้าม หรือที่ซึ่งทางราชการได้สงวนไว้เพื่อทรัพยากรธรรมชาติ          เป็นเหตุให้ผู้อำนวยการศูนย์เดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน จังหวัดกระบี่ - พังงา - ตรัง ได้ลงนามออกโฉนดที่ดินเลขที่ 19506 ตำบลถ้ำน้ำผุด อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา เนื้อที่ประมาณ 34 ไร่ ให้แก่นายนิวัฒน์ ปิยนามวาณิช เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2558  ซึ่งต่อมากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ตรวจสอบพบว่าที่ดินที่มีการออกโฉนดดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 และวันที่ 22 สิงหาคม 2543 ซึ่งมีการบุกรุกทำประโยชน์เป็นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเกือบทั้งแปลงตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2538 และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 3395/2540 ให้ผู้บุกรุกพร้อมบริวารออกจากป่าที่ยึดถือครอบครองแล้วการกระทำของนายนิติพน  สุวรรณมณี กับพวก จึงเป็นการทุจริตเพื่อให้มีการออกโฉนดที่ดินในเขตป่าชายเลน อันเป็นที่ดินซึ่งทางราชการเห็นว่าควรสงวนไว้เพื่อทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งต้องห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินตามกฎหมาย

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

  1. การกระทำของนายนิติพน สุวรรณมณี และนายมนตรี สาลิกา มีมูลความผิดทางอาญา    ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  2. การกระทำของนายทรงยศ นาคฤทธิ์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  3. การกระทำของนายนิวัฒน์ ปิยนามวาณิช มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด และฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการกระทำของผู้ถูกกล่าวหารายอื่น จากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว     ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป

ทั้งนี้ ให้แจ้งกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 19506 ตำบลถ้ำน้ำผุด อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา ที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลหมายที่ดิน มาตรา 61 ตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

 

เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายการุณ  ศรีเด่น เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลกมลา อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต กับพวก ออกใบรับรองการก่อสร้าง    อาคารโรงแรมกีมาลา (KEEMALA) เมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เดิมที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโครงการโรงแรมกีมาลา (KEEMALA) ตำบลกมลา อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เป็นกรรมสิทธิ์ของนายการุณ ศรีเด่น ซึ่งต่อมาได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับบริษัท กมลา พาราไดซ์ จำกัด เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2551 และบริษัท กมลา พาราไดซ์ จำกัด ได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้กับบริษัท ศรีจำรูญ จำกัด เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2555

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556 นายการุณ  ศรีเด่น ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลกมลา ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร (แบบ อ.1) เลขที่ 144/2556 ให้กับบริษัท ศรีจำรูญ จำกัด เพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงการโรงแรมกีมาลา (KEEMALA) ต่อมา ในวันที่ 2 ตุลาคม 2558 บริษัท ศรีจำรูญ จำกัด โดยนายสุรศักดิ์  สมนาม และนายมนตรี  สมนาม กรรมการ ผู้มีอำนาจกระทำการแทน ได้ยื่นคำขอใบรับรองการก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร (แบบ อ.6) ตามใบอนุญาตก่อสร้างอาคารฯ เลขที่ 144/2556 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2556 นายการุณ ศรีเด่น

ได้รับทราบตามที่นายช่างเขตได้รายงานผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2558 แล้วว่า ผังบริเวณที่ยื่นประกอบการขออนุญาตก่อสร้างอาคารของกลุ่มอาคาร 2 กลุ่ม ไม่ตรงกับผังการก่อสร้าง แต่กลับลงนามออกใบรับรองการก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือเคลื่อนย้ายอาคาร (แบบ อ.6) เลขที่ 003 – 005/2558 จำนวน 3 ฉบับ ให้กับบริษัท ศรีจำรูญ จำกัด ในวันเดียวกัน อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาความปรากฏว่าการก่อสร้างอาคารโครงการโรงแรมกีมาลา (KEEMALA) มีการก่อสร้างกลุ่มอาคารสลับตำแหน่งไม่เป็นไปตามผังบริเวณที่ได้รับอนุญาต และอาคารมีความสูงเกินกว่า  แบบแปลนที่ได้รับอนุญาตและที่ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่ และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2553 กำหนด

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

กรณีออกใบรับรองการก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร (แบบ อ.6) โดยมิชอบ

  1. การกระทำของนายการุณ ศรีเด่น มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย    การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติ
    สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92
  2. การกระทำของบริษัท ศรีจำรูญ จำกัด นายสุรศักดิ์ สมนาม และนายมนตรี สมนาม    มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด

สำหรับกรณีข้อกล่าวหาว่าออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร (แบบ อ.1) โดยมิชอบ ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ       ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป

ทั้งนี้ ให้แจ้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลกมลาดำเนินการสั่งให้แก้ไขหรือรื้อถอนอาคารตามหน้าที่และอำนาจ ในกรณีที่มีการก่อสร้างอาคารไม่ตรงตามผังบริเวณ ไม่ตรงตามแบบแปลน และฝ่าฝืน   ต่อประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522     และที่แก้ไขเพิ่มเติม

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

                                                                ………………………………………………………

Related