เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼️ ประจำเดือนกันยายน
"เบียดบังเงินของราชการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน"
พันโท ก. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้านายทหารฝ่ายการเงิน ได้รับเช็คของกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก ซึ่งพันโท ก. มีหน้าที่ต้องนำเช็คส่งกรมการเงินทหารบก แต่ไม่ได้นำส่งตามอำนาจหน้าที่แต่อย่างใด กลับนำเช็คไปเข้าบัญชีเงินฝาก ซึ่งเปิดในนามของกรมการเงินทหารบกแทน โดยระบุเงื่อนไขให้ตนเองมีสิทธิในการเบิกถอนเงิน จากนั้นได้เบิกถอนเงินออกจากบัญชีไปเป็นประโยชน์ส่วนตน
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของพันโท ก เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 มาตรา 15 และเป็นความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147
*********************************************
"เบียดบังเงินที่อยู่ในความควบคุมดูแลไปเป็นของตนโดยทุจริต"
ธนาคารของรัฐแห่งหนึ่งได้ทำการเปลี่ยนตู้ ATM โดยนาย ก เป็นหนึ่งในผู้ร่วมบรรจุเงินสดใส่ในตู้ ATM เครื่องใหม่ ซึ่งนาย ก. เป็นผู้ถือกุญแจเซฟและทราบรหัสเซฟของเครื่องเพียงผู้เดียว โดยไม่ส่งมอบกุญแจเซฟและแจ้งรหัสเซฟให้กรรมการคนอื่นทราบ ต่อมาได้มีการตรวจสอบยอดเงินคงเหลือในตู้ ATM พบว่า มีเงินหายไปจำนวนหนึ่ง โดยนาย ก. ได้ทำการเบียดบังเงินที่บรรจุในตู้เซฟของตู้ ATM ไปเป็นประโยชน์สำหรับตน
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนาย ก. เป็นความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 และมาตรา 11
******************************************
"การใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่และร่วมกันกับพวกเบียดบังเงินไปโดยทุจริต"
นางสาว ก. ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติในหน้าที่งานการเงิน ได้อาศัยโอกาสที่ได้รับมอบหมายในหน้าที่งานการเงิน ปลอมลายมือชื่อผู้รับเงินในใบรับเงิน ซึ่งเป็นหลักฐานส่งให้งานบัญชีดำเนินการลงรายการบัญชี นอกจากนี้ ยังได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้มีหน้าที่เขียนเช็คและครอบครองดูแลสมุดเช็คเพื่อเสนอผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็ค โดยได้เบียดบังเช็คไปโดยทุจริต เพื่อนำฝากเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีชื่อให้เรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร และให้ผู้มีชื่อถอนเงินไปใช้ประโยชน์สำหรับตนเอง โดยนางสาว ข ช่วยเหลือในการแจ้งเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคาร และเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากให้นางสาว ก. หลายครั้งไปใช้ได้สำเร็จ การกระทำของนางสาว ก. จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้ราชการได้รับความเสียหาย และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และการกระทำของนางสาว ข. จึงเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนางสาว ก. เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม ประกอบระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสำนักงานศาลยุติธรรม พ.ศ. 2544 ข้อ 3 และข้อ 4 และเป็นความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 157 และมาตรา 161 และการกระทำของนางสาว ข. เป็นความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86
***************************************
"นำธนบัตรปลอมไปปะปนกับธนบัตรจริง เพื่อนำธนบัตรจริงไปใช้ประโยชน์สำหรับตนเอง โดยมิชอบ"
เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ได้มาขอเบิกเงินจากสำนักงานคลังจังหวัด ซึ่งขณะนั้น นาย ก. อยู่ระหว่างการประชุม นาย ข. ปฏิบัติหน้าที่แทน นำเงินสำรองจ่ายประจำวันจากตู้เก็บรักษาเงินสำรองจ่ายประจำวันซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของนาย ก. จ่ายให้ไป ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ธนาคารพบว่ามีธนบัตรปลอมจำนวน 1,000 บาท ปะปนจำนวน 33 ฉบับ ต่อมาสำนักงานคลังจังหวัดได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบธนบัตรของกลางที่อยู่ในความรับผิดชอบของนาย ก. พบว่า ธนบัตรปลอมจำนวน 1,000 บาท หายไป 71 ใบ โดยนาย ก. ยอมรับว่านำธนบัตรปลอมดังกล่าวนำไปปะปนกับธนบัตรจริง จำนวน 33 ใบ ต่อมานาย ก. ได้นำธนบัตรปลอมมาคืนให้แก่สำนักงานคลังจังหวัดในทันที โดยมิได้นำธนบัตรจริงคืนในคราวเดียวกัน แต่นำเงินจำนวน 33,000 บาท ไปทดแทนเงินที่ขาดหายไปในวันเดียวกัน
การกระทำของนาย ก. จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้ราชการได้รับความเสียหาย และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนาย ก. เป็นความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมาตรา 157
***********************************************
การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
“กรณี เปลี่ยนผ่านรัฐบาล”
ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ตามประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประกาศ ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2566 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งรัฐมนตรี ประกาศ ณ วันที่ 1 กันยายน 2566
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงส่งผลให้นายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) สิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ทั้งคณะ
ดังนั้น สำนักงาน ป.ป.ช. ขอชี้แจงเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบ ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
พร้อมเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีพ้นจากตำแหน่ง ในวันที่ 5 กันยายน 2566 โดยมีระยะเวลาในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินภายใน 60 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้ หากไม่สามารถยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินได้ทันภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว สามารถยื่นคำขอขยายระยะเวลาการยื่นบัญชีฯ ได้ไม่เกิน 30 วัน โดยต้องยื่นคำขอดังกล่าวภายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566
2. นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
พร้อมเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง ในวันที่ 5 กันยายน 2566 โดยมีระยะเวลาในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินภายใน 60 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้ หากไม่สามารถยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินได้ทันภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว สามารถยื่นคำขอขยายระยะเวลาการยื่นบัญชีฯ ได้ไม่เกิน 30 วัน โดยต้องยื่นคำขอดังกล่าวภายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566
1) กรณีรัฐมนตรีตามข้อ 1 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีตามข้อ 2 ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีเข้ารับตำแหน่งใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่จะยื่นไว้เป็นหลักฐาน
2) กรณีดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีตามข้อ 2 ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่จะยื่นไว้เป็นหลักฐาน
**********************************************
"ตัวอย่างการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน"
1. กรณีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งคณะ (รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี
2. กรณีเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน)
ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี
3. กรณีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี หรือข้าราชการการเมืองอื่น (รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี (รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน) ภายในสามสิบวัน ได้รับการยกเว้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณีพ้นจากตำแหน่งเดิม และเข้ารับตำแหน่งใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่จะยื่นไว้เป็นหลักฐาน
4. กรณีดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นกรณีเจ้าพนักงานของรัฐได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วย จึงไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่จะยื่นไว้เป็นหลักฐาน
5. กรณีพ้นจากตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี (รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน)
เป็นกรณีที่ต้องยื่นบัญชีพ้นจากตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี
**************************************************
"การปลอมเอกสารสัญญาจ้างทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเพื่อเบียดบังเอาเงินที่จ่ายเงินค่าจ้างตอบแทนให้เกินไปเป็นของตนเอง"
นาย ส. เป็นข้าราชการ ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาสำนักงาน ส. ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่องค์การรัฐวิสาหกิจ ว. ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการองค์กรและกฎหมาย ในการช่วยราชการนี้ได้มีการทำสัญญาจ้างกันนาย ส. มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน กำหนดจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายเดือน เดือนละ 80,000 บาท ทุกสิ้นเดือน ต่อมานาย ส. ได้นำเอกสารสัญญาจ้างออกไปจากแผนกทรัพยากรบุคคล และต่อมาได้นำมาส่งคืนปรากฏว่าสัญญาจ้างแผ่นที่ 2 เดิมที่มีตัวเลขค่าจ้าง 80,000 บาท ถูกนำออกไปแล้วมีสัญญาจ้างเฉพาะแผ่นที่ 2 ที่ระบุอัตราค่าตอบแทนรายเดือนเป็นจำนวนเงิน 120,000 บาท ใส่ไว้แทน และต่อมาก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้างในแผ่นที่ 2 ใหม่อีกครั้ง โดยดึงสัญญาจ้างแผ่นที่ 2 ที่ระบุอัตราค่าจ้าง 120,000 บาทออกแล้วนำสัญญาจ้างเฉพาะแผ่นที่ 2 ซึ่งระบุอัตราจ้างจำนวน 100,000 บาทมาใส่ไว้แทน การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุทำให้องค์การรัฐวิสาหกิจ ว. ได้โอนเงินค่าตอบแทนเข้าบัญชีเงินฝากของนาย ส. จำนวน 3 ครั้ง ทำให้นาย ส. ได้รับเงินค่าตอบแทนเกินกว่าที่ตกลงกันจริงเป็นเงินจำนวน 88,412.23 บาท
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนาย ส. มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามกฎ ก.ร. ฉบับที่ 14 (พ.ศ.2537) ข้อ 3 (2) วรรคสาม และ (17) วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. 2518 มาตรา 48 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดทางวินัยของข้าราชการ ซึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานที่มิใช่ส่วนราชการ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ และฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา266 และมาตรา 268
************************************************
"ไม่ออกใบเสร็จรับเงิน และนำเงินไปใช้ประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ"
พันตำรวจโท ก. ได้รับหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหาจากผู้ประกันแล้วไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้ผู้ประกัน ไม่นำเงินประกันส่งมอบให้เจ้าหน้าที่การเงิน เพื่อนำฝากธนาคารตามระเบียบกระทรวงการคลัง และไม่ลงรายละเอียดลงในสมุดสถิติประกันประจำสถานีตำรวจ แต่ได้นำเงินประกันบางส่วนไปให้พันตำรวจโท ข. ใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยที่พันตำรวจโท ข. รู้แก่ใจตนเองดีว่าเป็นเงินประกันผู้ต้องหา เมื่อผู้ประกันมาขอพบเพื่อยื่นคำร้องขอเปลี่ยนหลักทรัพย์ประกันส่วนที่เป็นเงินสดมาเป็นโฉนดที่ดินแล้ว ก็ได้หลบเลี่ยงประวิงเวลาไม่ยอมให้พบ อีกทั้งเมื่อได้รับการอนุมัติให้เปลี่ยนหลักทรัพย์มาเป็นโฉนดที่ดินก็ได้คืนหลักทรัพย์ประกันที่เป็นเงินสดเพียงบางส่วน ส่วนที่เหลือคืนให้ภายหลัง การกระทำของพันตำรวจโท ก. และพันตำรวจโท ข. จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้ผู้อื่นและราชการได้รับความเสียหาย และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของพันตำรวจโท ก. และพันตำรวจโท ข. เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521 มาตรา 45 และเป็นความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
*********************************************
"เบียดบังเครื่องมือสื่อสารและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืน"
นาย ก. ได้รับอนุมัติให้เบิกยืมเครื่องมือสื่อสารพร้อมอุปกรณ์จำนวน 1 ชุด และได้รับอนุมัติให้เบิกยืมอาวุธปืน ซอง และกระสุนปืนเพื่อนำไปใช้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ซึ่งนาย ก. มีหน้าที่ต้องเก็บรักษาและระมัดระวังทรัพย์สินของทางราชการที่เบิกไปใช้ราชการมิให้เกิดชำรุด สูญหาย หรือเสียหาย ตามระเบียบกองพันสารวัตรทหารเรือที่ 1 กรมสารวัตรทหารเรือว่าด้วยการควบคุมเครื่องสรรพาวุธ พ.ศ. 2537 และระเบียบกองพันสารวัตรทหารเรือที่ 1 กรมสารวัตรทหารเรือว่าด้วยการเบิกยืมอาวุธปืนไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์อำนวยการร่วมกองบัญชาการทหารสูงสุด พ.ศ. 2540 การที่นาย ก. ไม่นำเครื่องมือสื่อสาร และอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนส่งคืนให้แก่ทางราชการ เป็นพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่านาย ก. มีเจตนานำเครื่องมือสื่อสาร และอาวุธปืน พร้อมเครื่องกระสุนปืนไปเป็นประโยชน์สำหรับตนเองโดยทุจริต เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนาย ก. เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 มาตรา 15 ประกอบระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ. 2507 ข้อ 2.1 และข้อ 2.9 และเป็นความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และมาตรา 157 ประกอบประมวลกฎหมายอาญาทหาร พ.ศ. 2455 มาตรา 5
************************************************
"ทุจริตเงินธนาณัติไปเป็นประโยชน์สำหรับตนเอง"
นาย ก. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายไปรษณีย์ 3 ประจำแผนกรับฝาก ประจำที่ทำการไปรษณีย์ ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รับ-จ่ายเงินธนาณัติ จัดทำบัญชีรับ-จ่ายเงินธนาณัติ ธน.64 (บัญชีรับเงินในธนาณัติในประเทศ) และ ธน.65 (บัญชีจ่ายเงินธนาณัติในประเทศ) โดยนาย ก. เป็นเจ้าหน้าที่รับฝากช่อง 6 ในระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ถึงวันที่ 2 มีนาคม 2544 เมื่อนาย ก. ได้รับเงินจากผู้ฝากธนาณัติและจ่ายเงินให้กับผู้รับเงินธนาณัติในแต่ละวันแล้ว เมื่อสิ้นวันทำการ นาย ก. จะนำยอดเงินรวมรายรับมาลงรายการใน ธน.64 ให้ตรงกับจำนวนที่รับฝากจริง แต่จะลงรายการในระบบคอมพิวเตอร์ให้ต่ำกว่าจำนวนเงินที่รับจริง และนำยอดเงินรวมรายจ่ายมาลงรายการใน ธน.65 ให้ตรงกับจำนวนที่จ่ายจริง แต่จะลงรายการในระบบคอมพิวเตอร์ให้สูงกว่าจำนวนเงินที่จ่ายจริง เพื่อเบียดบังส่วนต่างไปเป็นประโยชน์สำหรับตนเองโดยทุจริต
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
คณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระทำของนาย ก. เป็นความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร รับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2519 มาตรา 15
***********************************************
"ทุจริตปลอมลายมือชื่อของผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน"
นาย ก. ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารการเงินและบัญชี ทำหน้าที่หัวหน้าส่วนการคลังขององค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่ง โดยมีอำนาจในการรับเงิน เบิกจ่ายเงิน ฝากเงิน เก็บรักษาเงิน ตรวจเงิน เขียนเช็คเสนอลงนาม และเก็บรักษาสมุดเช็ค กระทำการนำสมุดเช็คธนาคาร เขียนเช็คสั่งจ่ายเงิน โดยปลอมลายมือชื่อของผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากขององค์การบริหารส่วนตำบลที่นาย ก. ทำงานอยู่ นำไปเบิกเงินจากธนาคาร และได้ปลอมลายมือชื่อของนาง ข. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นผู้รับเงิน แล้วยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นของตนเป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลได้รับความเสียหาย
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนาย ก. เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง และตามประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตำบลเรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดำเนินการทางวินัย ข้อ 3 และข้อ 19ประกอบพระราชบัญญัติบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 26 ประกอบมาตรา 17 (6) และเป็นความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสาร หรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 157 161 264 266 และมาตรา 268
*************************************************
"ลงลายมือชื่อและปลอมลายมือชื่อเพื่อสั่งจ่ายเงินให้กับตนเอง และนำเช็คไปเบิกเงิน"
นาย ก. ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานบังคับคดีจังหวัด มีอำนาจหน้าที่ในการลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินร่วมกับนางสาว ข. นักวิชาการเงินและบัญชี 4 ในเช็คของสำนักงานบังคับคดีจังหวัด ได้กระทำการทุจริตโดยลงลายมือชื่อของตนและปลอมลายมือชื่อของนางสาว ข. สั่งจ่ายเงินให้หัวหน้าสำนักงานบังคับคดีจังหวัดในเช็คจำนวน 2 ฉบับ ซึ่งมีไว้สำหรับใช้ในราชการของสำนักงานบังคับคดีจังหวัด ทั้งที่ไม่มีมูลเหตุของทางราชการที่จะสั่งจ่ายเช็ค จากนั้นนาย ก. ได้นำเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารเป็นเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน 1,647,250 บาท แล้วยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์สำหรับตนเอง
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนาย ก. เป็นความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 มาตรา 157 และมาตรา 161 และเป็นความผิดวินัย
****************************************************
"ทุจริตนำเงินที่ได้รับชำระค่าใช้ไฟฟ้าไปเป็นประโยชน์สำหรับตนเอง"