Contrast
Font
ece2f4440631993975a892215087926f.jpg

“ป.ป.ช. กับการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน”

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 3438

25/06/2567

“ป.ป.ช. กับการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน”

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 131 และมาตรา 133 ได้บัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการให้ความคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ทำคำร้อง ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ให้ถ้อยคำ หรือผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลใดเกี่ยวกับการทุจริต ตลอดถึงการให้ความคุ้มครองการปฏิบัติงานในหน้าที่แก่เจ้าพนักงานของรัฐที่ได้ให้ถ้อยคำหรือแจ้งเบาะแสแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย โดยมีการออกระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าด้วยการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน พ.ศ. 2562 ไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยมีรายละเอียดหลักเกณฑ์แนวทางการร้องขอรับการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน ดังนี้

  1. บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอและได้รับการคุ้มครองพยาน
  • ผู้กล่าวหา • ผู้เสียหาย • ผู้ทำคำร้อง • ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ • ให้ถ้อยคำ หรือผู้ที่แจ้งเบาะแส รวมถึง
    คู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดานหรือบุคคลที่อื่นใดมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับผู้ร้องขอด้วย
  1. ขั้นตอนการร้องขอคุ้มครองพยาน

              การยื่นคำร้องขอคุ้มครองช่วยเหลือพยาน ผู้ร้องขอสามารถกระทำได้ ดังต่อไปนี้

                 1) ยื่นคำร้องพร้อมเอกสารหลักฐานด้วยตนเองต่อสำนักงาน ป.ป.ช. (ส่วนกลาง) สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค หรือสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัด ทั่วประเทศ ตามแบบที่สำนักงานกำหนด หรือ

              2) ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองช่วยเหลือพยานและให้หน่วยงานดังกล่าว ประสานการปฏิบัติงานเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือพยานกับสำนักงาน

              ในกรณีเร่งด่วนหากพยานหรือผู้แจ้งเบาะแสไม่สามารถมายื่นคำร้องได้ด้วยตนเอง ให้ทำเป็นหนังสือ หรือจดหมาย หรือทางเครื่องมือสื่อสารอื่น ได้แก่ โทรศัพท์ โทรสาร หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน โดยต้องระบุชื่อ สกุล และที่อยู่ของผู้ร้องขอ ตลอดจนพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องขออาจไม่ได้รับความปลอดภัย และต้องลงลายมือชื่อ หรือระบุชื่อผู้ร้องขอหรือผู้แจ้งเบาะแสแล้วแต่กรณี และกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องจัดให้มีมาตรการคุ้มครองพยานในทันทีตามความจำเป็นเร่งด่วนไปพลางก่อน

  1. การพิจารณาให้บุคคลใดได้รับการคุ้มครอง ช่วยเหลือพยาน

    1) ให้สำนักงานดำเนินการคุ้มครองช่วยเหลือพยานได้ แต่ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวให้ความยินยอม ทั้งนี้ ให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานในการรายงานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบหรือมีมติโดยเร็ว

    2) หากปรากฏข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องปรากฏให้สำนักงานเสนอเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา เพื่อจัดให้มีมาตรการคุ้มครองช่วยเหลือพยานต่อไป

4. วิธีการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน

                 1) จัดพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ความคุ้มครอง ณ ที่พักอาศัยหรือสถานที่ที่พยานหรือผู้แจ้งเบาะแสร้องขอ

              2) จัดให้พยานอยู่หรือพักอาศัยในสถานที่ที่สำนักงานกำหนด

              3) จัดให้มีมาตรการปกปิดมิให้มีการเปิดเผยชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ ภาพ หรือข้อมูลอย่างอื่นที่สามารถระบุตัวพยานหรือผู้แจ้งเบาะแสได้

              4) จัดให้มีการติดต่อ สอบถามความเป็นอยู่หรือตรวจสถานที่ที่อยู่หรือพักอาศัยอย่างสม่ำเสมอ

              5) แจ้งเป็นหนังสือให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หรือหน่วยงานอื่น ดำเนินการให้การคุ้มครองความปลอดภัย

              6) ดำเนินการอื่นใดตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ

              ในกรณีพยานที่ขอให้การคุ้มครองช่วยเหลือตามวรรคหนึ่ง ประสงค์ให้คุ้มครองการปฏิบัติงานในหน้าที่ รวมถึงระดับตำแหน่งในการปฏิบัติงาน ให้เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาเพื่อจัดให้มีมาตรการคุ้มครองช่วยเหลือพยานดังกล่าวตามสมควรด้วย

5. การสิ้นสุดการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน

              1) พยานถึงแก่ความตาย

              2) พยานร้องขอให้ยุติการคุ้มครองช่วยเหลือหรือขอเพิกถอนความยินยอม

              3) พยานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบ หรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด โดยไม่มีเหตุอันสมควร

              4) พฤติการณ์แห่งความไม่ปลอดภัยของพยานเปลี่ยนแปลงไป และกรณีไม่มีความจำเป็นจะต้องให้ความคุ้มครองอีกต่อไป

              5) พยานไม่มาพบพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือไม่มาให้ถ้อยคำเป็นพยานโดยไม่มีเหตุสมควร หรือไม่ไปเบิกความ หรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามที่ให้การหรือให้ถ้อยคำไว้ หรือไปเบิกความเป็นพยานแต่ไม่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาหรือเป็นปฏิปักษ์

              6) เมื่อสำนักงาน ป.ป.ช. หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด ได้รับแจ้งจากหน่วยงานอื่นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. สั่งให้ดำเนินการคุ้มครองช่วยเหลือพยานว่า การคุ้มครองช่วยเหลือพยาน
สิ้นสุดลง เนื่องจากปรากฏเหตุตามข้อ 1) – 4)

              7) คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควรให้การคุ้มครองช่วยเหลือพยานสิ้นสุดลง

  1. ค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน และค่าทดแทน

              พยานหรือผู้แจ้งเบาะแสที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้การคุ้มครอง จะได้รับสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาทิ สิทธิที่จะได้รับค่าอาหารเครื่องดื่ม ค่าเลี้ยงชีพที่สมควรอันเนื่องมาจากการขาดประโยชน์ทำมาหาได้รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นสำหรับการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน นอกจากนั้นยังมีสิทธิได้รับค่าทดแทนในกรณีเกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของพยานเพราะเหตุมีการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาอันเนื่องมาจากการที่พยานหรือผู้แจ้งเบาะแสจะมาหรือได้มาเป็นพยานเพื่อให้ข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือในชั้นพิจารณาของศาล โดยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายและค่าทดแทนในการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน ให้เบิกจ่ายในอัตราที่กระทรวงยุติธรรมกำหนด หรือตามที่ทางราชการกำหนดไว้
เป็นต้น

                คณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงาน ป.ป.ช. ตระหนักและให้ความสำคัญกับการคุ้มครองช่วยเหลือบุคคลซึ่งเป็นพยาน ผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ทำคำร้อง ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือให้ถ้อยคำ หรือผู้ที่แจ้งเบาะแส รวมถึงคู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดานหรือบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับบุคคลดังกล่าวให้กล้าที่จะออกมาให้ความร่วมมือกันในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นผลให้ปัญหาการทุจริตในภาพรวมของประเทศไทยดีขึ้น และเพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมาตรฐานความโปร่งใสหรือยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริตให้สูงขึ้นเทียบเท่าในระดับสากลต่อไป

 

----------------------------------------------------

 

อ้างอิง : พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 131 และมาตรา 133 ประกอบระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน พ.ศ. 2562

“ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้”

Related