จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 311
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีร่ำรวยผิดปกติ รวมจำนวน 3 เรื่อง
วันนี้ (14 สิงหาคม 2568) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีร่ำรวยผิดปกติ รวมจำนวน 3 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่านายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 81,424,952.08 บาท
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปี พ.ศ. 2554 - 2557 ขณะดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และเมื่อปี พ.ศ. 2558 ขณะดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม ได้เข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง โดยนำห้างหุ้นส่วนจำกัดของตนซึ่งใช้ชื่อญาติและลูกจ้างเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทน เข้าเป็นคู่สัญญากับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 26 โครงการ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 7 โครงการ และหลังจากห้างหุ้นส่วนจำกัดได้รับเงินค่าจ้างแล้วจะโอนหรือถอนเป็นเงินสดฝากเข้าบัญชีของนายวัทธิกร ใสงาม โดยในระหว่างปี 2554 – 2558 นายวัทธิกร ใสงาม และคู่สมรส มีรายได้ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมเป็นเงินจำนวน 7,264,160.64 บาท มีทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นไม่สอดคล้องกับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินได้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 81,424,952.08 บาท ดังนี้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จำนวน 81,424,952.08 บาท
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง
หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125
สำหรับการดำเนินการทางวินัย กระทรวงพาณิชย์ได้มีคำสั่งลงโทษไล่นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม ออกจากราชการเป็นการเหมาะสมแล้ว ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่านายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ร่ำรวยผิดปกติ รวมเป็นเงินจำนวน 12,644,010.54 บาท
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2554 – 2556 ขณะที่นายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง มีทรัพย์สินไม่สัมพันธ์กับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินได้ จำนวน 5 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 12,644,010.54 บาท ดังนี้
1.1 เงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสบปราบ ชื่อบัญชี นายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย จำนวน 3,387,101.94 บาท
1.2 เงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเถิน ชื่อบัญชี นายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย จำนวน 5,477,519 บาท
2.1 ค่าเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิค ยี่ห้อโคมัตสุ ตามสัญญาเช่าซื้อ ลงวันที่ 31 มีนาคม 2554 ที่มีชื่อคู่สมรสเป็นผู้ครอบครอง รวมจำนวน 2,155,000 บาท
2.2 ค่าเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิค ยี่ห้อโคมัตสุ ตามสัญญาเช่าซื้อ ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ที่มีชื่อคู่สมรสเป็นผู้ครอบครอง รวมจำนวน 1,230,447 บาท
2.3 ค่าเช่าซื้อรถบรรทุกยี่ห้อ MITSUBISHI ที่มีชื่อคู่สมรสเป็นผู้ครอบครอง รวมจำนวน 393,942.60 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
นายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ เป็นเงินจำนวน 12,644,010.54 บาท
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อสั่งให้พ้นจากตำแหน่งภายในหกสิบวัน และให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคห้า
หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125
เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหานายวินัย เครื่องไชย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหัวง้ม อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ร่ำรวยผิดปกติ รวมเป็นเงินจำนวน 616,000 บาท
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2555 – 2564 ขณะที่นายวินัย เครื่องไชย ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหัวง้ม อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย มีรายการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด สุภีร์ เจริญทรัพย์ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับองค์การบริหารส่วนตำบลหัวง้ม เข้าบัญชีเงินฝากของนายวินัย เครื่องไชย จำนวน 22 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 616,000 บาท โดยปราศจากมูลอันจะอ้างได้ ตามกฎหมาย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
นายวินัย เครื่องไชย ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ เป็นเงินจำนวน 616,000 บาท
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อสั่งให้พ้นจากตำแหน่งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคห้า
หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
** การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด
ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด **