จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 69
ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม พนักงานธุรการ 5 อดีตหัวหน้าคลังสินค้ากลางรับฝากข้าวเปลือก จังหวัดสุรินทร์ สังกัดองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่ำรวยผิดปกติ รวม 41,370,084.88 บาท ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
วันนี้ ( 8 กันยายน 2568) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม พนักงานธุรการ 5 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคลังสินค้ากลางรับฝากข้าวเปลือก จังหวัดสุรินทร์ สังกัดองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีมีการกล่าวหานายอนุพงศ์ ครองคุ้ม พนักงานธุรการ 5 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคลังสินค้ากลางรับฝากข้าวเปลือก จังหวัดสุรินทร์ สังกัดองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าร่ำรวยผิดปกติ พบรายการฝากเงินสดเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม และผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวนหลายบัญชีเกินกว่าฐานะและรายได้ ซึ่งบางรายการพบว่าเป็นการฝากโดยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงสีข้าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 41,370,084.88 บาท จากรายละเอียด รายการทรัพย์สิน ดังนี้
1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาเทสโก้โลตัส สุรินทร์ จำนวน 80 รายการ จำนวน 25,536,963 บาท
2. ธนาคารออมสิน สาขาสังขะ จำนวน 4 รายการ จำนวน 2,878,000 บาท
3. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จำนวน 2 รายการ จำนวน 7,000,000 บาท
4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสุรินทร์ จำนวน 2 รายการ จำนวน 1,355,000 บาท
5. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสุรินทร์พลาซ่า จำนวน 1 รายการ จำนวน 300,000 บาท
6. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนหลักเมือง จำนวน 1 รายการ จำนวน 2,430,000 บาท
7. เงินสดที่นำไปชำระหนี้ จำนวนเงิน 1,870,121.88 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม ว่าร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด
เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริง โดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป
หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินเหล่านั้นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวน พร้อมเอกสารหลักฐานให้สำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
**การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด
ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด**