จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 134
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภายใต้การอำนวยการของนายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายวิวัฒน์ เจริญฉ่ำ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 5 นายพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ นายจรงค์ เกราะเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ นายไพโรจน์ นิยมเดชา ผู้อำนวยการกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 2 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่กลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 2 สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนคดีทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนคดีทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพะเยา ร่วมกับกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สำนักงาน ป.ป.ท. กรมการปกครอง และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหา ตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 จำนวน 14 ราย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
ผู้ต้องหากลุ่มที่ 1 เจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน 7 ราย ประกอบด้วย
ผู้ต้องหากลุ่มที่ 2 กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย
ผู้ต้องหากลุ่มที่ 3 นายหน้า/ผู้ขอทำบัตร จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย
ผู้ต้องหากลุ่มที่ 1 และที่ 2 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172
ผู้ต้องหากลุ่มที่ 3 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
ชุดปฏิบัติการจับกุมตรวจค้นได้ร่วมกันนำหมายค้นของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 เข้าทำการตรวจค้นเป้าหมาย รวม 12 จุด เพื่อพบตัวบุคคลผู้มีหมายจับและเพื่อพบสิ่งของและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยผลการตรวจค้นมีการตรวจยึดสิ่งของและพยานหลักฐานเพื่อนำมาประกอบการสอบสวนจำนวนหลายรายการ เช่น เอกสารคำขอมีบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน ภาพถ่ายของบุคคลผู้ยื่นคำขอภายในบ้านของนายหน้า และอาวุธปืน เป็นต้น
พฤติการณ์ในการกระทำความผิดสืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานานและกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร โดยมีกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่มีรายการทะเบียนที่มีสิทธิยื่นคำขอต่อนายทะเบียนท้องที่ทั่วประเทศ จำนวน 483,626 คน แยกเป็นบุคคลต่างด้าวที่ยื่นขอสถานะถิ่นที่อยู่ถาวร จำนวน 340,101 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร จำนวน 143,525 คน ซึ่งในช่วงแรก กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดช่วงเวลาให้กลุ่มบุคคลต่างด้าวตามที่มีรายการสามารถยื่นคำขอมีสถานะต่อนายทะเบียนท้องที่ได้ ซึ่งในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีผู้ที่มีสิทธิยื่นคำขอ จำนวน 97,000 คน จากนั้นได้พบข้อมูลว่ามีกลุ่มนายหน้าและเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ มีพฤติการณ์ในการเรียกรับผลประโยชน์
หน่วยงานตรวจสอบ จึงได้บูรณาการร่วมกัน 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท. บก.ปปป. กรมการปกครอง และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันสืบสวนเกี่ยวกับการทุจริตการทำบัตรของบุคคลต่างด้าวตามที่ได้รับแจ้งเบาะแส จากการสืบสวนพบข้อมูลว่าในการดำเนินการจัดทำบัตรจะมีกลุ่มนายหน้าดำเนินการติดต่อกับกลุ่มบุคคลต่างด้าวที่ต้องการทำบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน แม้บุคคลต่างด้าวผู้นั้นจะไม่มีสิทธิหรือคุณสมบัติก็สามารถจัดทำให้ได้ ซึ่งจะมีกลุ่มของนายหน้า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ เป็นผู้รับรองบุคคลและจัดหารายชื่อของชาวบ้านที่สนใจ จากนั้นจะส่งรายชื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งทำหน้าที่ด้านงานทะเบียนในอำเภอเวียงแหง เพื่อดำเนินการออกบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนให้กับกลุ่มบุคคลที่ยื่นผ่านกลุ่มนายหน้าดังกล่าว โดยจากการสืบสวนพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่ได้รับการทำบัตรในส่วนของขั้นตอนการอนุมัติ อนุญาต การทำเอกสาร การรับรอง การคืนรายการ และการถ่ายบัตร อันมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ
ผู้ต้องหากลุ่มที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียน และผู้ช่วยนายทะเบียน จะทำหน้าที่ในการอนุมัติ อนุญาต และบันทึกถ้อยคำตามแบบ (ปค.14) เพื่ออนุมัติคืนรายการบุคคลต่างด้าว จากนั้นจะอนุญาตให้ทำบัตรแก่บุคคลต่างด้าว โดยที่บุคคลต่างด้าวไม่มีสิทธิหรือคุณสมบัติที่จะได้รับบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าวแต่อย่างใด อันเป็นการจัดทำเอกสารและรับรองเอกสารเท็จ
ผู้ต้องหากลุ่มที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้นำท้องที่และนายหน้าในพื้นที่ มีหน้าที่ในการจัดหาบุคคลต่างด้าวที่ต้องการทำบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าว ส่งให้กับผู้ต้องหากลุ่มที่ 1 จากนั้นจะมีการจัดทำเอกสารและรับรองบุคคลให้ครบขั้นตอนเพื่อจัดทำบัตร บางรายมีการนำรายการของบุคคลต่างด้าวรายอื่นมาให้บุคคลต่างด้าวที่จัดหามาสวมรายการทำบัตรอันมีลักษณะเป็นการสวมบัตร
ต่อมา กรมการปกครองซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการอนุมัติ อนุญาตในการทำบัตรของบุคคลต่างด้าว และเป็นหน่วยงานที่ขับเคลื่อนนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 จึงได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. และมีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 จำนวน 30 ราย และขอหมายค้น จำนวน 12 จุด ต่อมาในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 จึงได้ร่วมกันตรวจค้นตามหมายค้น จำนวน 12 จุด และจับกุมบุคคลตามหมายจับได้ จำนวน 14 ราย ส่งพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ดำเนินคดีต่อไป
สำนักงาน ป.ป.ช. ขอแจ้งให้ทราบว่า หากท่านพบเห็นการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถแจ้งเบาะแสมายังสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ทางโทรศัพท์หมายเลข 1205 เว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ช. www.nacc.go.th หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดทั่วประเทศ
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
“ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”