Contrast
Font
6fd601a107a4d2dc3012815ca321f3ce.jpg

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 902

05/12/2568

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง

 

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง ดังนี้

 

เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีถือครองที่ดินตามหลักฐานหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ข) เลขที่ 2443 แปลงเลขที่ 2 กลุ่มที่ 2052 ตำบลหนองบอน อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด เนื้อที่ประมาณ 49-1-59 ไร่

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ได้ถือครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ข) เลขที่ 2443 แปลงเลขที่ 2 กลุ่มที่ 2052 ตำบลหนองบอน อำเภอบ่อไร่ จังหวดตราด เนื้อที่ประมาณ 49-1-59 ไร่ ออกให้ ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2544 และภายหลังจากที่นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเข้าปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 มีผลใช้บังคับแล้ว นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ก็ยังคงยึดถือ ครอบครอง และแสวงหาประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวเพื่อปลูกต้นยางพาราและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นยางพาราเรื่อยมา ทั้งที่ทราบดีว่าคุณสมบัติในการได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้นหมดสิ้นไป เนื่องจากตนไม่ได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักและมีรายได้ประจำจากเงินเดือนและค่าตอบแทนเพียงพอแก่การยังชีพอยู่แล้ว การที่นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ เพิกเฉยไม่แจ้งสละสิทธิการครอบครองที่ดิน หรือส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวคืนให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) โดยเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงมิให้ที่ดินที่ตนครอบครองเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อนำที่ดินไปจัดสรรให้กับเกษตรกรหรือผู้มีสิทธิตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองและเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์การดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

การกระทำของนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 17 ประกอบข้อ 3 และข้อ 27 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

ให้เสนอเรื่องการกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามฐานความผิดดังกล่าว ต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไป

 

เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนางสาวพัชรา ประสิทธิกสิกรรม เจ้าพนักงานการเงินและบัญชีชำนาญงาน เทศบาลตำบลลาดยาว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ กับพวก เบียดบังเงินของเทศบาลตำบลลาดยาว ปีงบประมาณ 2565 และ 2566 รวมจำนวน 15,706,611.07 บาท ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ระหว่างวันที่ 26 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2566 นางสาวพัชรา ประสิทธิกสิกรรม เจ้าพนักงานการเงินและบัญชีชำนาญงาน เทศบาลตำบลลาดยาว อาศัยโอกาสที่ตนได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ใช้งานในการรับ - จ่ายเงินผ่านระบบ KTB Corporate Online กระทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลของผู้มีสิทธิได้รับเงินในระบบให้เป็นข้อมูลของตนเอง แล้วใช้รหัสผ่านของนายเดชมงคล เดิมพยอม หัวหน้าฝ่ายบริหารงานคลัง กดอนุมัติโอนเงินของเทศบาลตำบลลาดยาว ประเภทเงินเดือน ค่าตอบแทน บำเหน็จบำนาญ ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ และเงินค่าหุ้นสหกรณ์ จากบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย สาขาลาดยาว ชื่อบัญชี สำนักงานเทศบาลตำบลลาดยาว เข้าไปยังบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย สาขาลาดยาว ซึ่งเป็นบัญชีส่วนตัวของนางสาวพัชรา ประสิทธิกสิกรรม จำนวน 187 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,658,881.04 บาท โดยเป็นกรณีที่มีการจัดทำฎีกาและหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน จำนวน 21 ครั้ง ซึ่งนางสาวพัชรา ประสิทธิกสิกรรม ได้กระทำการปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเพื่อประกอบฎีกาเบิกจ่ายเงิน และเป็นกรณีที่ไม่มีการจัดทำฎีกาและหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน จำนวน 166 ครั้ง โดยนายเดชมงคล เดิมพยอม หัวหน้าฝ่ายบริหารงานคลัง มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนนำส่งรายการเพื่ออนุมัติการโอนเงิน กลับปล่อยให้นางสาวพัชรา ประสิทธิกสิกรรม เป็นผู้กดอนุมัติการใช้งานในระบบแทนตนเอง และนายภัทรศักดิ์ ปทุมวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการกองคลัง นายวีระพงษ์ คงยืน ปลัดเทศบาลตำบลลาดยาว และนายสุภาพ ศักดิ์สัจจา นายกเทศมนตรีตำบลลาดยาว ในฐานะผู้บังคับบัญชา ละเว้นไม่ควบคุมตรวจสอบ ความถูกต้องในการรับ - จ่ายเงิน ควบคู่ไปกับรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีให้เป็นไปตามระเบียบ เป็นเหตุให้เทศบาลตำบลลาดยาวได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ยังปรากฏว่านางสาวพัชรา ประสิทธิกสิกรรม ได้ยักยอกเงินรายได้ของเทศบาลตำบลลาดยาว โดยไม่นำเงินค่าภาษีป้าย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และค่าธรรมเนียมเก็บขยะมูลฝอย ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ จำนวน 47,730.03 บาท นำฝากเข้าธนาคาร รวมเป็นเงินที่นางสาวพัชรา ประสิทธิกสิกรรม เบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น 15,706,611.07 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

การกระทำของนางสาวพัชรา ประสิทธิกสิกรรม มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา 162 (1) (4) มาตรา 264 และมาตรา 268 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของนายวีระพงษ์ คงยืน นายภัทรศักดิ์ ปทุมวัฒนาวงศ์ และนายเดชมงคล เดิมพยอม มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของนายสุภาพ ศักดิ์สัจจา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย และส่งสำนวนการไต่สวนไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ ต่อไป

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน


การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด

Related