จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 101
วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2568) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กับพวก เรียกรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ไม่มีคำสั่งย้ายหรือเปลี่ยนแปลงออกจากตำแหน่งหน้าที่ และทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างงานบำรุงป่าชายเลนของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) เมื่อปี พ.ศ. 2565
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้จับกุมนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมของกลางเป็นเงินสด จำนวน 98,000 บาท และจากการตรวจค้นภายในห้องทำงานของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา พบเงินสดอีกจำนวน 4,843,300 บาท จึงได้ตรวจยึดทรัพย์สินดังกล่าว รวม 21 รายการ และส่งคำร้องทุกข์กล่าวโทษ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา กรณีมีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากหัวหน้าหน่วยงานในสังกัด เพื่อมิให้ถูกโยกย้ายตำแหน่งและเก็บเงินรายเดือนจากหมวดงบประมาณต่าง ๆ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนและมีมติชี้มูลความผิดนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ในส่วนของเงินสดของกลางจำนวน 98,000 บาท และเงินสดที่ตรวจยึดได้จำนวน 2,693,300 บาท แล้ว โดยให้แยกประเด็นเกี่ยวกับเงินสด จำนวน 2,150,000 บาท และสิ่งของที่ตรวจยึดได้จำนวน 4 รายการ และกรณีทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างงานบำรุงป่าชายเลนของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) เพื่อดำเนินการไต่สวนเป็นคดีนี้
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ภายหลังนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา เข้าดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ได้ร่วมกับนายอลงกรณ์ เศรษฐเชื้อ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 เรียกรับเงินจำนวน 600,000 บาท จากนายสุวรรณเนาว์ แสนสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร เพื่อให้ไม่มีคำสั่งย้ายหรือเปลี่ยนแปลงออกจากตำแหน่งหน้าที่ และนายสุวรรณเนาว์ แสนสุข ได้ยินยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ตามที่ถูกเรียกรับ
สำหรับเงินสดจำนวน 1,850,000 บาท ที่ตรวจพบภายในห้องทำงานของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 แม้ไม่ปรากฏว่าเป็นทรัพย์สินที่นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ได้รับจากบุคคลใดและเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงินของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา หรือไม่อย่างไร แต่เป็นกรณีที่ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา มีพฤติการณ์รับทรัพย์สินจากจากผู้อื่น นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ 2565 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงานบำรุงป่าชายเลนโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย งานจัดซื้อกล้าไม้ป่าชายเลน จำนวน 161,700 ต้น และงานจัดจ้างเหมาค่าแรง ค่าใช้สอยและวัสดุ สำหรับบำรุงป่าชายเลน (โครงการปลูกป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร) จำนวน 5 โครงการ นายสุวรรณเนาว์ แสนสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ผู้รับผิดชอบโครงการ ได้จัดทำรายงานข้อมูลการสืบราคาจัดซื้อจัดจ้างอันเป็นเท็จเพื่อนำมากำหนดเป็นราคากลาง แล้วติดต่อตกลงกับนางสาวฉันทนา รำเพยพัด นางสาวอิงอร แสงแก้ว และนายนิพล วัดนครใหญ่ ซึ่งเป็นญาติของผู้ใต้บังคับบัญชา ให้เข้าเสนอราคาและเป็นคู่สัญญาผู้รับจ้างงานบำรุงป่าชายเลน จำนวน 5 สัญญา วงเงินรวม 785,400 บาท และติดต่อตกลงกับหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ร่มโกงกาง ซึ่งมิได้เป็นผู้มีอาชีพขายกล้าไม้ป่าชายเลน ให้เข้าเสนอราคาและเป็นคู่สัญญาผู้ขายกล้าไม้ป่าชายเลน วงเงิน 485,100 บาท โดยคณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างและคณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานซื้อได้ทำหลักฐานการตรวจรับพัสดุว่าถูกต้องตรงตามสัญญา ทั้งที่ผู้ขายและผู้รับจ้างงานบำรุงป่าชายเลนดังกล่าวมิได้ส่งมอบกล้าไม้และทำงานจ้างบำรุงป่าชายเลนให้ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าหลังจากมีการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างและค่าจัดซื้อดังกล่าวแล้ว นางสาวอิงอร แสงแก้ว และห้างหุ้นส่วนจำกัด ร่มโกงกาง ได้มีการให้เงินค่าจ้างและค่าจัดซื้อซึ่งเป็นส่วนแบ่งผลประโยชน์จากการใช้หรือเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่เกิดจากการทุจริตร่วมกันแก่นายสุวรรณเนาว์ แสนสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร และนายจงรัก ภู่ไพบูลย์ ผู้อำนวยการส่วนฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ด้วย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
กรณีทุจริตเรียกรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อให้ไม่มีคำสั่งย้ายหรือเปลี่ยนแปลงออกจากตำแหน่งหน้าที่
กรณีทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างงานบำรุงป่าชายเลนของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 (สุราษฎร์ธานี)
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวน การไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้แจ้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด พันโทหญิง ดวงรัตน์ แร่ทองขาว หรือนางสาวธนัน อัตถทัสสีกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประจำแผนกเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ และหัวหน้าแผนกควบคุมเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ กองเบี้ยหวัด บําเหน็จ บำนาญ กรมการเงินทหารบก กองทัพบก กับพวก เปลี่ยนแปลงและอนุมัติหมายเลขบัญชีผู้รับเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นที่จ่ายในระบบ e-pension ให้เป็นเลขที่บัญชีของตนเองและบัญชีของนายธนู วิเชียรเชื้อ ระหว่างปี พ.ศ. 2555 – 2563 จำนวน 572 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 230,841,834.38 บาท นำไปหมุนเวียนใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2555 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ขณะที่พันโทหญิง ดวงรัตน์ แร่ทองขาว ดำรงตำแหน่งประจำแผนกเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ และตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ กองเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ กรมการเงินทหารบก กองทัพบก มีหน้าที่บันทึกข้อมูลของผู้ขอรับเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่น ๆ ลงในระบบ e-pension ของกรมบัญชีกลาง ได้อาศัยโอกาสที่ตนได้รับมอบหมายจากพันโทหญิง วิมลฉวี ม้าถาวร หัวหน้าแผนกเบี้ยหวัด ให้เข้าใช้รหัสผู้ใช้ (User ID) และรหัสผ่าน (Password) ของผู้อนุมัติ อนุมัติเบิกเงินในระบบ e-pension ให้แก่ผู้มีสิทธิ ในกรณีที่พันโทหญิง วิมลฉวี ม้าถาวร ลาหรือมีภารกิจอื่นเป็นครั้งคราว จึงทำให้ทราบรหัสผ่าน (Password) หรือสุ่มเดารหัสผ่าน (Password) ของผู้อนุมัติในระบบ e-pension แล้วกระทำการเปลี่ยนแปลงบัญชีผู้รับเงินในระบบ e-pension ให้เป็นบัญชีของตนเอง และบัญชีของนายธนู วิเชียรเชื้อ คู่สมรส รวมจำนวน 572 ครั้ง มียอดเงินที่ได้รับจากกรมบัญชีกลางนำไปหมุนเวียนใช้ประโยชน์ส่วนตน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,841,834.38 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
สำหรับการกระทำของ พันเอก อนุสรณ์ คุ้มอักษร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเบี้ยหวัด บําเหน็จ บำนาญ จากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่าได้กระทำความผิดทางอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่การที่พันเอก อนุสรณ์ คุ้มอักษร ไม่ตรวจสอบการปฏิบัติและไม่ควบคุมกำกับดูแล จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง จึงให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 64
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ ให้แจ้งกองทัพบก ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง ต่อไปด้วย
เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายทวี เขียวคุ้ม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก กับพวก ปล่อยให้มีการบุกรุกและใช้ที่สาธารณประโยชน์ประกอบกิจการแพร้านอาหารในแม่น้ำปิง เมื่อปี พ.ศ. 2564
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 นายทวี เขียวคุ้ม ขณะดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก ได้รู้เห็นยินยอมและปล่อยให้นายสมเกียรติ ชินตระกูล ใช้ที่ดินซึ่งติดกับแม่น้ำปิง บริเวณบ้านคลองเชียงทอง หมู่ที่ 2 ตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก ตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ตก.1002 ที่ดินเลขที่ 59 ระวาง 4842 IV 1656-12 (1/1000) ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2560 เปิดกิจการร้านจำหน่ายอาหาร โดยสถานที่นั่งรับประทานอาหารส่วนหนึ่งเป็นแพอยู่ในแม่น้ำปิง และนายทวี เขียวคุ้ม ในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลประดาง ได้ออกหนังสือที่ ตก 73101/472 ลงวันที่ 1 เมษายน 2564 รับรองให้นายสมเกียรติ ชินตระกูล จอดแพบริเวณดังกล่าวได้ รวมทั้งมีหนังสือที่ ตก 73101/499 ลงวันที่ 21 เมษายน 2564 ขอให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพิษณุโลกพิจารณาให้องค์การบริหารส่วนตำบลประดางจอดแพในแม่น้ำปิง ทั้งที่นายสมเกียรติ ชินตระกูล ยังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดตากในการใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์บนฝั่ง และแพดังกล่าวเป็นแพส่วนตัวของเอกชน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์การบริหารส่วนตำบลประดาง การกระทำของนายทวี เขียวคุ้ม จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้นายสมเกียรติ ชินตระกูล ใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์และลำน้ำอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งตนมีหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช 2457 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ. 2553 ซึ่งภายหลังมีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายอำเภอวังเจ้าจึงได้มีหนังสือลงวันที่ 23 ธันวาคม 2564 แจ้งให้นายสมเกียรติ ชินตระกูล ยุติการประกอบกิจการ รวมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่สาธารณประโยชน์แล้ว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
การกระทำของนายทวี เขียวคุ้ม มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 90/1
สำหรับนายสมเกียรติ ชินตระกูล จากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่การที่นายสมเกียรติ ชินตระกูล กระทำการบุกรุกที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเป็นความผิดเฉพาะตัวของนายสมเกียรติ ชินตระกูล จึงให้สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตาก ดำเนินการแจ้งประสานให้องค์การบริหารส่วนตำบลประดางร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ ต่อไป
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
"การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด"