Contrast
Font
f1ec5607a17f515a79780a82901ec715.jpg

เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼️ ประจำเดือน สิงหาคม-กันยายน 2568

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 20

09/10/2568

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

🔍 เคยไหม? แค่ลุกขึ้นพูดความจริง…แต่กลับถูกฟ้องกลับจนหมดกำลังใจ!

ในสังคมที่คนดีถูกขู่ให้เงียบ การมีกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law) จึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันสำคัญ ที่ช่วยให้คนกล้าออกมาเปิดโปงการทุจริต โดยไม่ต้องกลัวถูกฟ้องหรือกลั่นแกล้งอีกต่อไป

มาดูกันว่ากฎหมายนี้คืออะไร? ช่วยคุ้มครองใครบ้าง? และมีที่มาอย่างไร?

กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากในคดีทุจริต หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้กำหนดกลไกในการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งฟ้องคดี ถูกกลั่นแกล้งร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือถูกกลั่นแกล้งในการดำเนินการทางวินัย เพราะเหตุที่ผู้นั้นได้มาให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส ส่งพยานหลักฐาน หรือแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยสุจริต หรือเรียกอีกชื่อสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า “กฎหมาย Anti-SLAPP Law”

กฎหมายฉบับนี้มีที่มาจากแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ต้องการให้มีการพัฒนาและแก้ไขกฎหมาย เพื่อปกป้องคุ้มครองบุคคลที่ถูกกลั่นแกล้งฟ้องร้องดำเนินคดีจากการแสดงความเห็นหรือเปิดโปงเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริต

ซึ่งมาตรการคุ้มครองและช่วยเหลือที่มีอยู่ตามกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นกลไกทางกฎหมายที่จะช่วยส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคประชาชนที่พบเห็นการทุจริต ให้เข้ามามีส่วนร่วมชี้ช่องแจ้งเบาะแสเพิ่มมากขึ้นด้วย

#กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากในคดีทุจริต
--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

รู้หรือไม่❓

ใครบ้างที่ “เข้าข่าย” ได้รับ ความคุ้มครองและช่วยเหลือจากการถูกกลั่นแกล้ง หรือ ฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) ภายใต้กฎหมาย ป.ป.ช. ที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 132 ฉบับที่ 2)

🔍 ไม่ใช่แค่ “ผู้ร้องเรียน” เท่านั้น!

แต่ยังรวมถึงผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการทุจริต ประกอบด้วย

  1. ผู้ให้ถ้อยคำ ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูลหรือคำอธิบายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายและระเบียบกำหนด
  2. ผู้แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส ได้แก่ ผู้กล่าวหา หรือผู้ให้รายละเอียดข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ซึ่งน่าจะเป็นการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
  3. ผู้นำส่งพยานหลักฐานประกอบการให้ถ้อยคำ การแจ้งข้อมูลหรือเบาะแส หรือ
  4. ผู้แสดงความคิดเห็น เช่น พยานผู้เชี่ยวชาญ

ซึ่งช่องทางเข้าสู่การพิจารณาให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือกลุ่มบุคคลเหล่านี้มี 2 กรณี ได้แก่

  1. ช่องทางการทำคำร้องขอรับความคุ้มครองและช่วยเหลือ และ
  2. ช่องทางความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ว่ามีกรณีที่ต้องให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้

--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

🛡️ หากคุณเป็นหนึ่งในผู้กล้าที่ลุกขึ้นมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริต และกำลังเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้ง หรือฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) ‼️

อย่าเพิ่งท้อ...คุณมีสิทธิขอรับความคุ้มครองและความช่วยเหลือตามกฎหมาย

มาดูกันว่าต้องเตรียม ข้อมูลอะไรบ้าง และสามารถ ยื่นคำร้องผ่านช่องทางใด เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการได้รับการช่วยเหลือจาก ป.ป.ช.

เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแก่บุคคลจากการถูกกลั่นแกล้งดำเนินการหรือฟ้องคดีปิดปาก ตามมาตรา 132 ในการทำคำร้องขอรับความคุ้มครองและช่วยเหลือ ควรระบุรายละเอียดดังนี้

  1. ชื่อและที่อยู่ของบุคคลผู้ถูกกลั่นแกล้ง
  2. ข้อมูลที่แสดงให้ทราบว่าบุคคลผู้ถูกกลั่นแกล้งนั้นได้เคยมาให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส

ส่งพยานหลักฐาน หรือแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ในเรื่องใด

  1. ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลผู้ถูกกลั่นแกล้งนั้นได้ถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือถูกดำเนินการทางวินัย จริง

และหากมีพยานหลักฐานหรือสามารถอ้างพยานหลักฐานประกอบรายละเอียดดังกล่าวได้ ก็ขอให้นำส่งหรืออ้างมาพร้อมกับคำร้องขอด้วย

สำหรับวิธีการทำคำร้องขอ สามารถทำได้โดยการแจ้งด้วยวาจาแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้บันทึกรายละเอียดดังกล่าวไว้ หรือทำเป็นหนังสือ หรือทำคำร้องขอในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และ

ยื่นคำร้องขอได้ที่สำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 – 9 หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด ทุกจังหวัด หรือยื่นผ่านทางเว็บไซต์ สำนักงาน ป.ป.ช. (www.nacc.go.th) หรืออาจยื่นต่อหน่วยงานที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายให้ดำเนินการแทนตามมาตรา 61 - มาตรา 64 ก็ได้

โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลสำนักงาน ป.ป.ช. 1205

--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

🛡️ รู้ไว้...คุณอาจมีสิทธิได้รับความคุ้มครอง!

📌 หากคุณถูกร้องทุกข์ ฟ้องคดี หรือถูกลงโทษทางวินัย เพราะแจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตต่อ ป.ป.ช. จะมีขั้นตอนพิจารณาให้ความคุ้มครองและช่วยเหลืออย่างไรไปติดตามกันได้เลยครับ

 "4 ขั้นตอน การพิจารณาให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือ"

เมื่อได้มีการยื่นคำร้องขอรับความคุ้มครองและช่วยเหลือแล้ว ในขั้นตอนการพิจารณาให้ความคุ้มครอง เจ้าหน้าที่จะจัดทำสรุปข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน พร้อมความเห็น เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาความคุ้มครองภายในสิบห้าวันนับแต่ได้รับเรื่องจากเจ้าหน้าที่

โดยมีเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความคุ้มครองแก่บุคคล ดังต่อไปนี้

(1) เรื่องที่บุคคลถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือถูกดำเนินการทางวินัย มีสาเหตุมาจากการที่บุคคลได้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส ส่งพยานหลักฐานประกอบการให้ถ้อยคำการแจ้งข้อมูลหรือเบาะแส หรือแสดงความคิดเห็น แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจป้องกันและปราบปรามการทุจริต

(2) พฤติการณ์ของการถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือถูกดำเนินการทางวินัย เป็นผลจากการที่ได้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส ส่งพยานหลักฐานประกอบการให้ถ้อยคำการแจ้งข้อมูลหรือเบาะแส หรือแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

(3) เป็นการให้ถ้อยคำ การส่งพยานหลักฐานประกอบการให้ถ้อยคำแจ้งข้อมูลหรือเบาะแส หรือการแสดงความคิดเห็นของบุคคล ซึ่งได้กระทำโดยสุจริต (คือต้องไม่เป็นการมาให้ถ้อยคำโดยมีเจตนาเพื่อกลั่นแกล้งบุคคลอื่น)

(4) ถ้อยคำ ข้อมูล เบาะแส พยานหลักฐาน หรือความคิดเห็นที่ได้ให้ไว้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจป้องกันและปราบปรามการทุจริต

สำหรับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ไม่ว่าจะได้รับการกันไว้เป็นพยานหรือไม่ ก็มีสิทธิได้รับการพิจารณาการคุ้มครองและช่วยเหลือในกรณีที่ถูกฟ้องปิดปากในคดีทุจริตด้วย 

เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณามีมติให้บุคคลได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือเป็นประการใดแล้ว สำนักงาน ป.ป.ช. ก็จะมีการแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบ พร้อมทั้งส่งเรื่องให้สำนักที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

🛡️ รู้หรือไม่? หากคุณลุกขึ้นมาพูดความจริง เปิดโปงการทุจริต แล้วถูกฟ้องกลับเพื่อกดดันให้หยุด…คุณมี “สิทธิ” ที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากในคดีทุจริต

เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ความคุ้มครองแล้ว สำนักงาน ป.ป.ช. จะเข้ามาดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ด้วยมาตรการที่จำเป็น ครอบคลุมทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีทางวินัย เพื่อให้คุณต่อสู้ได้อย่างมั่นใจ 💪 ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างไปติดตามกันได้เลย

"สิทธิในการได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือมีอะไรบ้าง"

เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ความคุ้มครองแล้ว สำนักงาน ป.ป.ช. จะเข้ามามีบทบาทในการ

ให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว สำหรับมาตรการในการให้ความช่วยเหลือได้ตามความจำเป็น โดยแบ่งเป็น 3  กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 หากบุคคลถูกฟ้องคดีแพ่ง สามารถให้ความช่วยเหลือได้ดังต่อไปนี้

(1) การมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่แก้ต่างให้

(2) การจัดหาทนายความให้ หรือการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความ

(3) การสนับสนุนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี

(4) การให้ความช่วยเหลือกรณีอื่น ๆ เท่าที่จำเป็น

กรณีที่ 2 กรณีบุคคลถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ หรือถูกดำเนินคดีอาญา สามารถให้ความช่วยเหลือได้ดังต่อไปนี้

2.1 หากอยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ

สำนักงาน ป.ป.ช. จะส่งข้อมูลและมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 132 ไปให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อประกอบการพิจารณา โดยให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

นอกจากนี้ ยังสามารถให้ความช่วยเหลือโดยสนับสนุนค่าฤชาธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี และการช่วยเหลือในการปล่อยชั่วคราว ได้ด้วย

2.2 หากอยู่ระหว่างถูกฟ้องคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์และคดีอยู่ในอำนาจของศาล

สำนักงาน ป.ป.ช. สามารถให้ความช่วยเหลือ ดังนี้

(1) การมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่แก้ต่างให้

- โดยเจ้าหน้าที่ไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อแจ้งมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าบุคคลได้รับความคุ้มครองและขอให้ศาลรวมไว้ในสำนวนเพื่อประกอบการพิจารณา ทั้งในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและในชั้นพิจารณาพิพากษา

(2) การจัดหาทนายความให้ หรือการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความ

(3) การขอให้พนักงานอัยการเข้าแก้ต่างให้

- หากเป็นเรื่องที่ควรส่งให้พนักงานอัยการแก้ต่าง สำนักงาน ป.ป.ช. จะประสานไปยังพนักงานอัยการเพื่อขอให้ดำเนินการแก้ต่างคดี และสนับสนุนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาคดี

(4) การสนับสนุนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี

(5) การช่วยเหลือในการปล่อยชั่วคราว

2.3 หากเป็นคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องและคดีอยู่ในอำนาจของศาล

สำนักงาน ป.ป.ช. จะแจ้งมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความคุ้มครองไปยังบุคคลผู้ถูกฟ้องคดีหรือทนายความที่บุคคลนั้นแต่งตั้ง เพื่อให้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลต่อไป

นอกจากนี้ ยังสามารถให้ความช่วยเหลือโดยสนับสนุนค่าฤชาธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี และการช่วยเหลือในการปล่อยชั่วคราว ได้ด้วย

กรณีที่ 3 กรณีบุคคลถูกดำเนินการทางวินัย

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดำเนินการแจ้งมติที่วินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความคุ้มครองไปยังผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยทราบ และให้ยุติการดำเนินการทางวินัยในเรื่องนั้นทันที

--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

การได้รับความคุ้มครองและความช่วยเหลือจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถือเป็นหลักประกันสำคัญที่ช่วยคุ้มครองบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง การถูกดำเนินการ หรือการถูกฟ้องคดีปิดปาก อันเนื่องมาจากการมีส่วนร่วมในการเปิดเผยหรือสนับสนุนการปราบปรามการทุจริต อย่างไรก็ดี สิทธิและความคุ้มครองดังกล่าวมิได้ดำรงอยู่อย่างถาวร หากแต่มีเงื่อนไขและกรณีที่อาจนำไปสู่การยกเลิกการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือได้ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะพิจารณาตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ปรากฏภายหลัง ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไรไปติดตามกันได้เลยครับ

เมื่อไหร่จึงจะสิ้นสุดการได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือ

แม้ว่าบุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้ได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ดี คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจพิจารณายกเลิกการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือบุคคล หากมีเหตุปรากฏภายหลังว่า

(1) บุคคลมีหนังสือแจ้งความประสงค์ขอยกเลิกการให้ความช่วยเหลือ

(2) เหตุแห่งการถูกร้องทุกข์ การถูกกล่าวโทษ การถูกฟ้องคดีอาญาหรือคดีแพ่ง หรือการคุ้มครองและช่วยเหลือทางวินัย สิ้นสุดลง และมีกรณีที่ต้องยกเลิกการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือ

(3) เมื่อปรากฏเหตุหรือพฤติการณ์ว่าบุคคลนั้นไม่เข้าที่เงื่อนไขที่จะได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือต่อไป

(4) กรณีถึงแก่ความตาย เว้นแต่ในคดีแพ่งซึ่งทายาทหรือผู้รับมรดกความแจ้งความประสงค์ขอให้สำนักงาน ป.ป.ช. ให้ความช่วยเหลือต่อไป

(5) บุคคลที่ถูกสั่งปล่อยชั่วคราวหลบหนี หรือผิดสัญญาประกัน

(6) กรณีมีเหตุสมควรประการอื่นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นควรยกเลิกการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือ

ทั้งนี้ เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติยกเลิกการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแล้ว สำนักงาน ป.ป.ช. จะดำเนินการแจ้งให้บุคคลนั้นทราบโดยเร็ว รวมทั้ง สำนักงาน ป.ป.ช. จะดำเนินการแจ้งให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ศาล หรือผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัย ทราบ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของหน่วยงานนั้น ๆ ต่อไป ด้วย

--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

ก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงที่มาและสาระสำคัญของกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากในคดีทุจริต (Anti-SLAPP Law) ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 132 วิธีการยื่นคำร้อง ขั้นตอนการพิจารณา สิทธิที่จะได้รับ และเงื่อนไขสิ้นสุดการคุ้มครอง กันไปแล้ว

วันนี้มาดูกันว่า… กฎหมายนี้สร้างประโยชน์อะไรให้กับประเทศและประชาชนบ้าง? ไปติดตามกันได้เลยครับ

ประโยชน์ที่ประเทศและบุคคลที่เกี่ยวข้องจะได้รับจากกฎหมายนี้คือ การมีกลไกในการคุ้มครองและช่วยเหลือประชาชนผู้ชี้ช่องเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริต จากการถูกอีกฝ่ายใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องมือ เพื่อกลั่นแกล้ง ขัดขวาง ข่มขู่ หรือทำให้เกิดความกลัว เพื่อยับยั้งไม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริต

ให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การกำหนดให้มีกลไกในการคุ้มครองและช่วยเหลือประชาชนผู้ชี้ช่องเบาะแสเกี่ยวกับ

การทุจริต เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส

โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติรับรองไว้ ซึ่งเป็นการยกระดับกลไกและมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมและการพัฒนากฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากในคดีทุจริตของประเทศไทย อันเป็นการยกระดับองค์กรไปสู่มาตรฐานสากลในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญา UNCAC อีกด้วย

--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 103 และประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2568 ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568

เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำรงตำแหน่งตามประกาศฯ มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน

- ยื่นแสดงรายการ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568

- ยื่นได้ตั้งแต่ 2 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2568

- ช่องทางยื่น 3 วิธี : ระบบอิเล็กทรอนิกส์ / ยื่นด้วยตนเอง / ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน

--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

ประกาศ ป.ป.ช. กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2568

มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

เจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งที่กำหนด ต้องปฏิบัติหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามกฎหมาย

--------------------------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไม่ใช่แค่ “ขั้นตอนตามกฎหมาย” แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความโปร่งใส และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ

ทำไมจึงต้องเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ??

เพื่อสะท้อนถึงเจตนารมณ์และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 106 จึงกำหนดมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน โดยกำหนดให้ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐบางตำแหน่งที่ได้ยื่นไว้ ให้ประชาชนทราบในช่องทางที่เข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย

Related